18 ธันวาคม 2551

กลับมาเขียนบันทึก

ก่อนอื่นต้องขอโทษมิตรรักชาวบล็อกทั้งหลายที่ไม่ได้เขียนบันทึกมานานกว่าเดือนครึ่ง เพราะมีงานมากมายเข้ามารุมเร้าทำให้ไม่มีเวลาว่างสักเท่าไร ประกอบกับไม่มีคนอ่านเลย เขียนเองอ่านเองแบบนี้เลยหยุดเขียนก่อนสักพัก เอาเวลาไปทำงานอย่างอื่นเสียหน่อย ตอนนี้พอมีเวลาว่างเลยกลับมาปั่นบล็อกอีกครั้งหนึ่ง

ช่วงที่ผ่านมาก็มีงานเข้ามามากมาย มากเสียจนช่างดูโหดร้ายกับข้าพเจ้ายิ่งนัก ทั้งงานหลวงและงานราษฎร์ แต่ทำไมมีแต่งานที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ แถมหลายๆ งานยังจะต้องเข้าเนื้อตัวเองอีก จะเรียกว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำไหม ก็ไม่ค่อยน่าจดจำหลายอย่างนะ แต่ก็ช่างมันเสียเถิดเพราะในที่สุดแล้วข้าพเจ้าก็ผ่านพ้นมันมาได้

ช่วงนี้ก็มีงานนะไม่ใช่ว่าจะว่างงานแต่อย่างใด งานใหญ่ๆ ที่น่านักใจช่วงนี้มีถึง ๔ อย่างด้วยกัน คือ ๑.ซีเนียร์โปรเจ็ค(ถ้าไม่เสร็จ ก็ไม่จบ) ๒.สรุปเข้มฯ ครั้งที่๕(ไม่รู้จะเป็นปีสุดท้ายที่ได้ทำหรือเปล่า) ๓.ติดตามและประเมินผล(งานนี้ก็หนักหนาน่ายุบฝ่ายทิ้งเสียนะ) ๔.หนังสือจุฬาฯ บัณฑิต(งานที่ท้าทายภายใต้แรงกดดันสูงยิ่ง)

เอาเป็นว่าชีวิตช่วงนี้ข้าพเจ้าเต็มไปด้วยงานนะขอรับ ถ้าคิดถึงมากก็ต้องโทรหากันเอา เพราะ MSN ก็ไม่ค่อยจะออนไลน์ อินเทอร์เน็ตหอและคอมพ์ต่างแข่งกันเน่าลงเรื่อยๆ อีกไม่นานคงจะต้องยอมถอยคอมพ์ใหม่เสียแล้วมั้ง ส่วนความรักหลายคนคงคิดว่ากำลังหวานนะครับ บางทีความจริงอาจไม่เป็นอย่างที่ท่านๆ คิดกันก็ได้นะ

อีกไม่กี่วันก็ปีใหม่ วันก่อนก็พึ่งทำการ์ดแจกเพื่อนๆ และคนรู้จักไป เดี๋ยวถ้ามีอารมณ์และว่างจะ Save for web แล้วเอามาอัพให้ได้รับชมกันนะขอรับ วันนี้เลยเลือกเพลงนี้มาปิดท้ายบันทึกประจำครั้งนี้ เป็นเพลงเก่าพอสมควร MV ถ่ายได้เจ๋งดีนะ ตอนนี้อารมณ์ข้าพเจ้ากำลังประมาณนี้เห็นจะได้ คิดว่าคงมีคนมาให้ของขวัญข้าพเจ้าบ้างนะ จะดีใจมากๆ



เพลง : อยากได้
ออย วันศิริ

เห็นใครๆเขาดูมีความสุข ได้รับดอกไม้ช่อใหญ่
เสียงเค้าหัวเราะฟังดูสดใส คงเพราะว่าภายในใจเค้ารักกัน

แต่เมื่อย้อนมาดูตัวเอง ก็ไม่เห็นเคยเป็นอย่างนั้น
อยู่เพียงตัวคนเดียว และอยู่ไปวันวันหมดความหมาย

อยากได้ดอกไม้บ้าง อยากได้ของขวัญให้ฉันบ้าง จะมีทางเป็นจริงซักเมื่อไร
อยากมีความรักและอยากที่จะมีเขาอยู่ใกล้ๆ เมื่อไรจะเจอซักที

ถ้าฉันมีเขาคงมีความสุข และคงได้ดอกไม้ช่อใหญ่
เสียงฉันหัวเราะคงฟังสดใส ก็เพราะมีใครสักคนที่รักกัน

แต่เมื่อย้อนมาดูตัวเอง ก็ไม่เห็นเคยเป็นอย่างนั้น
อยู่เพียงตัวคนเดียว และอยู่ไปวันวันหมดความหมาย

อยากได้ดอกไม้บ้าง อยากได้ของขวัญให้ฉันบ้าง จะมีทางเป็นจริงซักเมื่อไร
อยากมีความรักและอยากที่จะมีเขาอยู่ใกล้ๆ เมื่อไรจะเจอซักที

อยากได้ดอกไม้บ้าง อยากได้ของขวัญให้ฉันบ้าง จะมีทางเป็นจริงซักเมื่อไร
อยากมีความรักและอยากที่จะมีเขาอยู่ใกล้ๆ เมื่อไรจะเจอซักที

อยากได้ดอกไม้บ้าง อยากได้ของขวัญให้ฉันบ้าง จะมีทางเป็นจริงซักเมื่อไร
อยากมีความรักและอยากที่จะมีเขาอยู่ใกล้ๆ เมื่อไรจะเจอซักที

อยากได้ดอกไม้บ้าง อยากได้ของขวัญให้ฉันบ้าง จะมีทางเป็นจริงซักเมื่อไร
อยากมีความรักและอยากที่จะมีเขาอยู่ใกล้ๆ เมื่อไรจะเจอซักที

เมื่อไรจะเจอซักที

เมื่อไรจะเจอ เจอเขาซักที





ปล. ของขวัญที่กำลังอยากได้ช่วงนี้นะ Notebook HP สักเครื่อง กล้อง DSLR สักตัว มือถือ Nokia N81 สักอัน ถ้าได้จริงๆ คงจะดีใจน่าดูเลย ไปนอนฝันต่อดีกว่า

03 พฤศจิกายน 2551

งานที่สภานิสิต

เปิดเทอมสุดท้ายไปแล้วเป็นเวลา ๑ สัปดาห์ครับ มีเรื่องราวมากมายให้ทำเลย เรื่องการเรียนก็พอสมควร เรื่องกิจกรรมยิ่งมีเยอะกว่า ตอนนี้ข้าพเจ้ามารับตำแหน่งในสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอย่างเต็มตัวแล้วครับ เป็น"ประธานกรรมธิการฝ่ายติดตามและประเมินผล" ชื่อฟังดูหรูหราแต่งานที่ทำไม่ได้ดูสวยงามเหมือนชื่อตำแหน่งหรอกนะครับ

นอกจากจะต้องติดตามและประเมินผลกิจกรรมต่างๆ ภายในจุฬาฯ เพื่อที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กิจกรรมที่จัดโดยนิสิตแล้ว ยังต้องมาสู้รบกับสมาชิกและเจ้าหน้าที่ในสภานิสิตด้วย เนื่องด้วยอยู่ปี ๔ แล้วเลยต้องช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นของน้องๆ ภายในสภานิสิตด้วย ทั้งปัญหาเรื่องของคน(เยอะมากๆ) ปัญหาเรื่องงาน เรื่องเงิน รวมไปถึงเรื่องส่วนตัวของหลายๆ คนด้วย

บางทีก็สนุกดีนะมีอะไรให้ทำมากมาย บางทีก็เหนื่อยจนนั่งน้ำตาซึมว่าจะทำไปทำไม แต่สุดท้ายข้าพเจ้าก็ต้องทำให้เต็มที่ แม้ว่าหลายๆ อย่างที่ทำลงไปจะไม่ชอบใจตัวเอง หนือไม่ชอบใจคนอื่นๆ บ้าง แต่เพื่อส่วนรวมและเพื่อจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าก็พร้อมและยินยอมที่จะปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้ ถึงแม้จะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ก็จะพยายามให้สุดความสามารถ

ทำงานเยอะๆ จนไม่มีคนมารักหรือมาสนใจด้วยตอนนี้ เจอแฟนเก่าก็มีคนใหม่ไปแล้ว ก็ยินดีกับเค้าด้วยที่ได้เจอคนที่ดีกว่าข้าพเจ้า ส่วนตัวข้าพเจ้าเองก็คงต้องอยู่กับตัวเองต่อไป อยู่ปี ๔ แก่แล้วด้วยใครจะมาสนใจ หน้าตาก็ไม่ดีแถมหุ่นก็อ้วนกลม(พยายามลดแล้วนะน้ำหนัก ทรมานมากมาย แต่ก็ไม่สำเร็จ) ข้าพเจ้าก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง


เพลง : คนธรรมดา
The August Band

วันเวลาที่แสนสวยงามของเรา อาจจบเท่านั้น
เป็นเพียงเพราะเราใช้มันทำให้กันและกัน ต้องเสียใจ
เมื่อความเป็นจริงวันวานเมื่อวานนั้นผ่านไป
แต่เรายังหวัง ให้รักที่เหลือเจือจางเป็นดั่งเดิมทุกอย่าง

เราใฝ่ไปเกินฝัน จนเป็นความไม่เข้าใจ
เวลาจะแปรอะไรจากที่เป็น ไม่เว้นแม้รัก
ที่ผูกพันและเสียดาย
จนวันหนึ่งมันเปลี่ยนเราไปคล้ายใคร ไม่รู้จัก

บางทีเราเป็นเพียงคนโง่ บางทีเราเป็นเพียงคนเหงา
บางทีเราอาจเพียงต้องการแค่เรา ที่หายไป
บางทีเราเป็นเพียงคนหนึ่งธรรมดา ที่ไม่เข้าใจ
ในความหมายรักลึกซึ้ง และแสนยิ่งใหญ่
กว่าใครครอบครอง

เราเคยคิดว่า เราสองเราก็ต่าง เข้าใจในรัก
และพยายามทำเหมือนว่าเรารู้จัก ความไว้ใจ
ก็เคยสัญญาว่าไม่ครอบครอง เราแค่ประคองกันไว้
แต่ความรักนั้นทำให้ทุกอย่างมันไม่ง่าย

แล้วมันจะผ่านพ้นไปหรือเปล่า แล้วเราจะลืมได้เมื่อไร
แล้วใจที่พังยับเยินใครจะเอาไว้....

รัก คือที่มาของความสุข แต่รักก็เอามันคืนไป
ไม่รู้ ใครบอกฉันซักทีว่า ความรัก....มันคืออะไร มันคืออะไร ใครบอกฉัน....




ปล.ช่วงนี้ก็เป็นไมเกรนอีกแล้ว ข้าพเจ้าจะเลิกคิดมาก พักผ่อนให้เพียงพอ และไม่ทานช็อคโกแลตแล้ว แต่ขอไม่กินยานะ เหอๆ

28 ตุลาคม 2551

๒ วันหลังเปิดเทอม

เปิดเทอมผ่านมาได้ ๒ วันแล้วครับ พึ่งได้เรียนจริงๆ แค่วันเดียวเอง อีกวันไปนั่งๆ นอนๆ กลิ้งๆ บนสภานิสิตครับ เทอมนี้เรียนน้อยมาก แต่มีงานโปรเจ็คเพียบเลย ส่วนวันที่เรียนก็เรียนตั้งแต่เช้าจรดเย็น ชีวิตเด็กปี ๔ ดูตารางเรียนแปลกๆ แต่ก็ดีแล้วครับ เผื่อต้องไปต่างจังหวัดหรือไปค่ายไปรับจ๊อบอะไร จะได้ไม่ต้องห่วงการเรียนมากมาย

วันนี้ไปเรียนวิชาผู้ประกอบธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์(ชื่อประมาณนี้ล่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าถูกไหม) ที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีมา สนุกดีครับอาจารย์คนที่สอนฮาได้ใจมากๆ รู้สึกเป็นการเรียนกับอาจารย์ที่สูงวัยหน่อยที่มาไปด้วยประสบการณ์และกลเม็ดในการทำให้นิสิตสนใจในการสอนของท่าน ไม่เหมือนอาจารย์อีกหลายๆ ท่านในจุฬาฯ ที่น่าจะพัฒนาและปรับปรุงการสอนของตัวเองได้แล้ว

ส่วนงานจุฬาฯ วิชาการก็ดูเรื่อยๆ เฉื่อยๆ ต่อไป ก็จะปล่อยงานนี้เป็นไปตามยถากรรมแล้วกัน เพราะตอนนี้มาทุ่มเวลาเอาใจใส่กับฝ่ายติดตามและประเมินผล สภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ตอนนี้เป็นรูปเป็นร่างที่ค่อนข้างชัดเจนขึ้นมามาก ได้น้องมาช่วยฝ่ายเกือบคนล่ะ ขาดไม่กี่คนแต่คิดว่าก็น่าจะพาฝ่ายนี้รอดต่อไปให้ได้ แม้จะแก่แล้วและต้องมาร่วมทีมกับน้องๆ ปี ๑ ที่แสนจะสนใส เพื่อเผชิญกับกิจกรรมต่างๆ นานา

ปิดท้ายช่วงเพลินเพลงกับหยกม่อนใน blogspot วันนี้ด้วยอีกหนึ่งเพลงที่ชอบพอสมควรของคริสติน จริงๆ แล้วเพลงนี้ถูกแต่งขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ แต่ด้วยสปิริตของเธอที่อยากจะร้องเพลงไทย เพลงนี้เลยถูกแก้เนื้อใหม่เป็นภาษาไทย และเธอก็ร้องได้ไพเราะจนเป็นอีกหนึ่งเพลงที่ถูกนำกลับมาทำใหม่เรื่อยๆ เพราะทุกคนยังตราตรึงในความทรงจำนั่นเอง


เพลง: ดาว
คริสติน

หากคืนนี้ มีดาวอยู่ล้านดวง
ฉันขอได้ไหมสักดวงหนึ่ง ช่วยฟังฉันที
เพราะว่าคืนนี้ ฉันมีเรื่องร้อนใจ
อยากอธิษฐานและขอดวงดาวให้ ช่วยฉันสักที

เนื่องจากตอนนี้ ฉันรู้สึกจิตใจมันอ่อนไหว
อยากจะรู้ว่าเขาเป็นยังไง จากคำพูดวันนี้
เพราะฉันเพิ่งบอก....รักไป
และเขาก็รับฟังทุกอย่าง ทุกถ้อยคำ

เหมือนความฝัน แต่ฉันเองก็ไม่อาจแน่ใจ
พรุ่งนี้เรื่องของเราจะสุข หรือแสนเศร้า
จึงวอนขอดาวให้ช่วยบอก...( ที )

หากว่าตัวเขา มีใจให้ฉันจริง
ฉันขอได้ไหมให้ทุกสิ่ง เป็นจริงเรื่อยไป
ให้ต่อจากวันนี้ เขามีแต่ฉันในหัวใจ
อยากอธิษฐานและขอดวงดาวให้ ช่วยฉันสักที

เนื่องจากตอนนี้ ฉันรู้สึกจิตใจมันอ่อนไหว
อยากจะรู้ว่าเขาเป็นยังไง จากคำพูดวันนี้
เพราะฉันเพิ่งบอก....รักไป
และเขาก็รับฟังทุกอย่าง ทุกถ้อยคำ

เหมือนความฝัน แต่ฉันเองก็ไม่อาจแน่ใจ
พรุ่งนี้เรื่องของเราจะสุข หรือแสนเศร้า
จึงวอนขอดาวให้ช่วยบอก...( ที )

ช่วยบอกให้ฉันรู้...ให้มั่นใจ
การรอคอย มันยากเกินทนไหว
ได้โปรดช่วยบอกฉัน และตอบหน่อยได้ไหม
ว่าพรุ่งนี้เขากับฉัน นั้นจะเป็นยังไง

เพราะฉันเพิ่งบอก....รักไป
และเขาก็รับฟังทุกอย่าง ทุกถ้อยคำ
เหมือนความฝัน แต่ฉันเองก็ไม่อาจแน่ใจ
พรุ่งนี้เรื่องของเราจะสุข หรือแสนเศร้า
จึงวอนขอดาวให้ช่วยบอก...( ที )




ปล.ถ้าเรารู้ว่าคนที่เราชอบคิดอย่างไร ก็คงไม่ต้องถามดาวหรอกนะ

26 ตุลาคม 2551

พรุ่งนี้เปิดเทอมๆ

ไม่น่าเชื่อว่าพรุ่งนี้(น่าจะ)เป็นการเปิดเทอมครั้งสุดท้ายในชีวิตแล้วครับ ตั้งแต่เปิดเทอมแรกตอนอยู่อนุบาล ๑ ที่โรงเรียนบ้านรัตนบุรี อุทิศวิทยา จนมาเปิดเทอมสุดท้ายที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การเดินทางที่สุดแสนจะยาวนานเกือบ ๑๘ ปีของข้าพเจ้ากำลังจะสิ้นสุดลง พร้อมกับการจบชีวิตในช่วงแรก ก้าวเข้าสู่ชีวิตในช่วงชั้นต่อไปนั่นก็คือวัยทำงานครับ

เทอมสุดท้ายในชีวิตของการศึกษายังไม่ได้ทำอะไรต้องรีบๆ ทำเสียแล้ว ยังมีค่ายอีกหลายค่ายที่ไม่ได้ไปทำ ยังมีจังหวัดอีกเยอะที่ยังไม่ได้ไปเยือน ยังมีกิจกรรมอีกหลากหลายที่ยังไม่ได้ลอง ระยะเวลาอีกประมาณ ๔ เดือนที่เหลืออยู่ต้องรีบเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการศึกษาและกิจกรรมทุกอย่าง ไม่ให้เพียงแค่จบไปมีแค่เพียงความรู้ แต่ไม่สามารถทำงานจริงอะไรได้เลยสักอย่าง

ล่าสุดมีโอกาสได้อ่านหนังสือเรื่อง A Peacock in the land of Penguins หรือชื่อภาษาไทยว่า นกอยู่ตัวหนึ่งในดินแดนของนกเพนกวิน ที่น้องคิมประธานสภานิสิตแนะนำและให้ยืมมาอ่าน รู้สึกชอบมากๆ ถ้าข้าพเจ้าได้ไปทำงานจริงจะเป็นอย่างไร ต้องไปเป็นนกเพนกวินไหม(ที่จริงก็เหมือนเพนกวินอยู่แล้วนะ เอิ๊กๆ) แต่ก็คงได้รู้ในไม่อีกกี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว

สุดท้ายก่อนจบต้องหาแฟนดีๆ ให้ได้สักคนแล้ว รับรองว่าข้าพเจ้าจะดูแลคนๆ นี้ให้ดีที่สุด ไม่งอแงทำแต่งานจนไม่มีเวลาให้ จะใส่ใจทุกรายละเอียดให้เต็มที่ ว่าแต่ว่าจะไปหาเค้าคนนั้นได้ที่ไหนกันหนอ จุฬาฯ ก็กว้างใหญ่แต่ยังไม่เคยมีแฟนเป็นเด็กจุฬาฯ กับเค้าบ้างเลย มาเอาใจช่วยข้าพเจ้าด้วยนะขอรับว่าจะทำภารกิจครั้งนี้สำเร็จลุล่วงลงไปได้หรือไม่ ?


เพลง : ดวงตะวัน Sunshine
August band

ดวงตะวันยามเช้าส่อง ชีวิตผู้คนกำลังเคลื่อนไหว
ช่างดูสับสนเวียนวนวุ่นวาย และพาอะไรมากมายมาให้เรา

เดินบนทางอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ชีวิตคนเดียวบางทีก็เหงา
ในวันที่ต้องทนผจญเรื่องเศร้า มองหาสักคนก็ไม่มี

กับคนที่คอยดูแลใส่ใจ ต้องเฝ้ารออีกแค่ไหนดี คนที่มีที่ให้เราพักพิง

จะไปที่ไหนและที่ไหน จะไปหาเค้าที่ไหน ต้องทำเช่นไรจะได้พบเค้า
คนที่คอยจะยืนอยู่เคียงข้างเรา ในวันที่ต้องเหงาขึ้นทุกวัน
ต้องไปที่ไหนและที่ไหน อยากรู้ว่าที่ไหน ถึงจะได้พบคนๆ นั้น
ก็ได้แต่ปล่อยเวลาผ่านเลยทุกวัน ฉันต้องรอต่อไป (ฉันต้องรอต่อไป)

ดวงตะวันลับฟ้าลง ชีวิตฉันคงยังไม่หยุดเคลื่อนไหว
ต้องคอยคืนวันผ่านนานอีกเท่าไหร่ จะได้พบใครที่ฉันรอ

คนที่คอยดูแลใส่ใจ ต้องเฝ้ารออีกแค่ไหนดี คนที่มีที่ให้เราพักพิง

จะไปที่ไหนและที่ไหน จะไปหาเค้าที่ไหน ต้องทำเช่นไรจะได้พบเค้า
คนที่คอยจะยืนอยู่เคียงข้างเรา ในวันที่ความเหงาก่อตัว เพิ่มขึ้นทุกวัน

จะไปที่ไหนและที่ไหน อยากรู้ว่าที่ไหน (จะไปหาเค้าที่ไหน)
ถึงจะได้พบคน ๆ นั้น ก็ได้แต่ปล่อยเวลาผ่านเลยทุกวัน
ฉันต้องรอต่อไป เพื่อพบใครซักคน




ปล. ไม่อยากพลาดทุกครั้งที่ข้าพเจ้าเขียนบันทึกใหม่ สามารถกดตามติด blog ของข้าพเจ้าได้ บริเวรทางขวามือ

25 ตุลาคม 2551

วันธรรมดา

ช่วงนี้ข้าพเจ้าดูเหมือนบ้าพลังพอสมควรที่มาขยันเขียนบันทึกอยู่ได้ทุกวัน ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยมีคนมาอ่านกันสักเท่าไร แต่ก็จะพยายามเขียนต่อไปให้บ่อยมากที่สุด เผื่อว่าสักวันหนึ่งจะได้รวมเล่มขายเหมือนของดารากันบ้าง เอิ๊กๆ ฝันเพ้อไปไกลเลยทีเดียวเชียว เอาแค่ให้มีคนอ่านอย่างน้อยครั้งละ ๑๐ คนก็เป็นพระคุณเหลือล้นแล้วที่มีคนให้ความสนใจข้าพเจ้า

วันนี้นัดเจอแฟนเก่ามาครับ ไปทานข้าวกันเฉยๆ วันเกิดเค้า ถึงจะเลิกกันไปแต่ความห่วงใยดีๆ ยังมีให้กันเสมอ ไม่อยากให้เลิกกันแล้วมองหน้ากันไม่ติด แถมเลี้ยงข้าวแฟนเก่าและแฟนใหม่ของแฟนเก่าด้วย หุหุ ก็ยินดีกับน้องเค้าด้วยแล้วกันที่ได้เจอคนดีๆ กว่าข้าพเจ้า ขอให้รักกันไปยาวนานนะครับ ส่วนข้าพเจ้าคงจะอีกนานเลยกระมั้งถึงจะมีโอกาสมีแฟนกับเค้าได้ เพราะบ้างานเกินไป

มานั่งคิดๆ ดูตอนนี้ แฟนเก่า ๒ คน กับ คนที่เราเคยจีบแต่เค้าไม่สนใจอีก ๒ คน (รวมเป็น ๔ คน) ต่างก็มีแฟนใหม่เป็นของตัวเองเรียบร้อยแล้วนะ แล้วทำไมข้าพเจ้าถึงยังไม่มี นั่นสิ? มั่วแต่บ้างานมากๆ เดี๋ยวก็คงได้แต่งกับงานแน่ๆ ก็มีคนที่มองๆ เล็งๆ ไว้เหมือนกันนะครับ แต่ค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าเค้าคงไม่ได้ชอบกระผม ดูเค้าก็เริ่มตีตัวออกห่างเหมือนกัน เอิ๊กๆ

ตอนเดินกลับมาที่หอเห็นคนเดินกันเป็นคู่ๆ รู้สึกอิจฉานิดๆ ดีแล้วที่ไม่ไปดูหนังต่อ เพราะไปดูหนังคนเดียวแล้วจะเกิดอาการเซ็งอีก เดี๋ยวนี้หาเช่าแผ่นมาดูในคอมพ์ดีกว่า จะได้ไม่ต้องไปนั่งง่าวในโรงภาพยนตร์ นอนใต้ผ้าห่มบนที่นอนอบอุ่นสุดๆ แถมดูไม่ทันตอนไหนก็ย้อนไปดูได้ อยากทำธุระก็หยุดได้ ไม่ต้องไปตากแอร์หนาวๆ ในโณงหนังคนเดียว หุหุ


เพลง: อยากเป็นคนเดิม
แอน ธิติมา ประทุมทิพย์

เคยเป็นคนๆหนึ่ง ที่เคยใช้ชีวิตง่ายดาย
มั่นใจในตัวเอง เที่ยวเองคนเดียวบ่อยไป

เธอเป็นคนมาเปลี่ยน ที่มารักแล้วมาทิ้งไป
แล้วทำให้คนมั่นใจ กลายเป็นหวาดกลัว

หมดไปแล้ว ความเข้มแข็งอย่างนั้น
มีเพียงความเคว้งคว้างว่างเปล่า เท่านั้น

อยากเป็นคนเดิม ก่อนเธอเข้ามาเปลี่ยนแปลง
อยากเป็นคนเดิมแต่ดูเหมือนมันจะยากเกินจะทำ
ฉันคนเก่าที่เคยแข็งแรง เหมือนได้ตายจากไปแสนนาน
ก็เลยไม่รู้จะพ้นจะผ่านวันนี้ไปได้อย่างไร

กลายเป็นคนๆหนึ่ง ที่อ่อนไหวง่ายดายเหลือเกิน
เมื่อเดินคนเดียวก็เหงาเสียจนจับใจ

เธอเป็นคนมาเปลี่ยน ที่มารักแล้วมาทิ้งไป
แล้วทำให้คนมั่นใจ กลายเป็นหวาดกลัว

หมดไปแล้ว ความเข้มแข็งอย่างนั้น
มีเพียงความเคว้งคว้างว่างเปล่า เท่านั้น

อยากเป็นคนเดิม ก่อนเธอเข้ามาเปลี่ยนแปลง
อยากเป็นคนเดิมแต่ดูเหมือนมันจะยากเกินจะทำ
ฉันคนเก่าที่เคยแข็งแรง เหมือนได้ตายจากไปแสนนาน
ก็เลยไม่รู้จะพ้นจะผ่านวันนี้ไปได้อย่างไร

อยากเป็นคนเดิม ก่อนเธอเข้ามาเปลี่ยนแปลง
อยากเป็นคนเดิมแต่ดูเหมือนมันจะยากเกินจะทำ
ฉันคนเก่าที่เคยแข็งแรง เหมือนได้ตายจากไปแสนนาน
ก็เลยไม่รู้จะพ้นจะผ่านวันนี้ไปได้อย่างไร




ปล. ใครที่มาแสดงความคิดเห็นไว้ รบกวนลงชื่อด้วยนะครับ จะได้ตามไปขอบคุณได้ถูกครับ

24 ตุลาคม 2551

ไม่รู้ใจตัวเอง

เคยได้รับชมภาพยนตร์เรื่อง Seasons Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างชอบเลย เพราะอะไรนั่นเหรอครับ เพราะชีวิตของพระเอกในเรื่อง(ป้อม)มีส่วนคล้ายกับชีวิตจริงของข้าพเจ้ามากๆ แต่ต่างกันตรงที่นั่นคือภาพยนตร์ มันเลยจบลงอย่างสวยงาม ทุกปัญหาผ่านพ้นไปได้ดี แต่ชีวิตจริงของข้าพเจ้านั่นเหรอครับ ไม่ได้จบลงด้วยดีหรอก

นอกจากนั่นก็ยังชอบเพลงประกอบภาพยนตร์ เป็นบทเพลงที่คนแต่งสามารถแต่งเนื้อหาได้ออกมาดีมาก(แม้คนร้องบางเพลงจะยังแย่ไปหน่อยนะ) และอีกหนึ่งเพลงที่ค่อนข้างตรงกับใจของข้าพเจ้าก็คือเพลง"ไม่รู้ใจตัวเอง" เป็นเพลงที่เกี่ยวกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ทำอะไรก็ตามคนอื่นบอก โดยไม่ได้รู้เลยว่าที่แท้จริงแล้วจิตใจของตัวเองนั้นต้องการอะไรกันแน่

แต่ชีวิตจริงของข้าพเจ้าไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายนะ ที่เกิดมารู้ใจตัวเองแต่ไม่สามารถทำตามในสิ่งที่หัวใจเรียกร้องได้ ต้องทำตามที่ครอบครัว สถาบัน หรือสังคมเป็นผู้กำหนด บางทียังเคยหัวเราะทั้งน้ำตากับความโชคดีผสมร้ายของตัวเองอยู่เนื่องๆ ข้าพเจ้าก็ต้องทำตามที่คนอื่นๆ บอกกล่าวหรือต้องการอยู่ดี มีความคิดเห็นอะไรเป็นของตัวเองไม่ได้หรอก

อยากทำอะไรตามใจสั่งจังเลย อยากไปไหนที่ไม่มีคนรู้จัก ได้ทำอะไรในสิ่งที่ต้องการ ได้เรียนในสิ่งชอบ ได้ทำงานในสิ่งใช่ ได้มีคนรักที่ตัวเองต้องการ หรืออะไรก็ตามแต่ที่ไม่ใช่ตามใจคนอื่น คงมีแค่เพียงบนโลกอินเทอร์เน็ตเล็กๆ แห่งนี้กระมัง ที่จะทำให้ข้าพเจ้าทำในสิ่งที่มีความปรารถนาหรือต้องการได้ แม้โลกแห่งความจริงจะไม่มีโอกาสก็ตามแต่


เพลง : ไม่รู้ใจตัวเอง
บอล วิทวัส สิงห์ลำพอง

ทำตามคนโน้น ตามใจคนนี้...เรื่อยมา
I always have in order with every one.
ใจไปทางโน้น ใจไปทางนี้...ทุกเวลา
Alweys in order go this way or that way

*เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เหมือนฤดูกาล
Alway change like a season.
ไม่เคยแน่นอนซักครั้ง
never sure, not just one.
หลอกตัวเองไปอย่างนั้น มองเลยความฝัน...ในใจ
just deceive myself and looking over the dream in deeply down inside

**ชอบอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้ใจตัวเอง
never know my self, never know what i like
เลือกอะไรก็ไม่รู้ หลงทางไปจนไกล
never know how to choose, Lost the way to go till far a ways.
เพิ่งเข้าใจ เพิ่งจะรู้ ว่ามีเธออยู่ข้างกาย
just understand that you are on my side
ขอเดินไปสู่จุดหมายกับเธอ
intend to go to the destination with you

แปรแปรวนตามฝน รวนเรตามฟ้า..เรื่อยมา
ecentric like a rains , alway change like a skys
มีดีตรงนี้ ยังมองตรงโน้น...เสียเวลา
The good think is here but still looking some where... waste the time

(ซ้ำ */**)

(ซ้ำ **)




ปล.ในที่สุดก็กลับมาเป็นบล็อคร้างไม่มีคนมาอ่านเช่นเคย บอกแล้วว่าไม่มีใครสนใจวชิรัตน์หรอก เวลาเขียนอย่าคาดหวังว่าจะมีคนอ่าน

23 ตุลาคม 2551

๒๓ ต.ค. วันปิยมหาราชานุสรณ์

วันนี้มีโอกาสดีที่ได้ไปร่วมถวายบังคมที่พระบรมรูปทรงม้าเนื่องในโอกาส ๒๓ ต.ค. วันปิยมหาราชานุสรณ์ แถมปีนี้ต้องไปในฐานะสภานิสิตสวมชุดราชปะแตนที่แสนจะร้อน และมีคนที่อยากใส่ชุดนี้มากถึงขนาดไปหาชุดมาเอง - -" ใส่แล้วรู้ให้ความรู้สึกอยากกลับไปใส่ชุดพิธีการขาวเหมือนปีที่ผ่านๆ มา และยังทำให้คิดหนักไปถึงวันรับปริญญาเลยว่าร้อนเยี่ยงนี้เลยเหรอ

โดยส่วนตัวข้าพเจ้าคิดว่าวันนี้มีความสำคัญกับข้าพเจ้าอย่างยิ่งนะ เพราะมัธยมก็ศึกษาที่โรงเรียนปิยะมหาราชาลัย จ.นครพนม (ชื่อโรงเรียนก็บอกได้เลยว่าเกี่ยวอย่างไร) อุดมศึกษาก็ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะฉะนั้นหากไม่ติดภารกิจอันใด ๒๓ ต.ค. จะพยายามไปร่วมงานให้ได้ แถมวันนี้เป็นคืนสู่เหย้าที่โรงเรียนอีก ไม่เคยได้ไปร่วมงานคืนสู่เหย้าเลยสักปี ปีนี้ว่าจะไปก็อดไป

งานวันนี้ก็ร้อนและเหนื่อยพอสมควร แถมไม่ได้นอนก่อนไปร่วมงานเพราะต้องแก้ไขปัญหาบางอย่างเร่งด่วน ในงานก็จัดไปได้เรื่อยๆ ดี ไม่มีอะไรน่าประทับใจเท่าไร สงสารแต่เด็กปี ๑ ที่ต้องไปตากแดด ทำให้คิดถึงตอนที่ตัวเองได้ไปต่างแดดแบบนั้น แต่ปีนี้ได้มาอยู่ในร่มแทน นอกจากนั้นงานก็มีปัญหาอีกหลายๆ จุดที่ผู้จัดงานน่าจะแก้ไขให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปได้ในปีหน้าๆ

มาถึงช่วงไร้สาระบ้างดีกว่า วันนี้ได้เจอหน้าน้องคนที่แอบชอบด้วยครับ มาร่วมงานแต่งชุดน่ารักดี หุหุ วันนี้ว่าจะไปสารภาพบอกน้องเค้าแล้วนะว่าชอบน้องเค้า แต่ดูน้องเค้าเหนื่อยๆ เซ็งๆ อยู่ พยายามเข้าไปพูดคุยด้วยก็แล้วนะ ชวนไปเดินงานหนังสือด้วยกันก็ไม่อยากไป ชวนไปทานข้าวด้วยก็ไม่อยากทาน แต่ก็อย่างที่บอกล่ะว่าน้องเค้าคงไม่สนใจข้าพเจ้าหรอก เค้ามีหนุ่มๆ มาให้เลือกมากมาย แล้วทำไมข้าเจ้าต้องไปปลื้มเด็กคนนี้ด้วยนะ ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ ชอบเค้าแล้วก็ไม่กล้าบอกเค้าว่าชอบ เหอๆ


เพลง : ไม่กล้าบอกเธอ
โจ-ก้อง

คิดตรึกตรองอยู่นาน อยากกระซิบเธอด้วยคำพูดหนึ่ง ที่มันซ่านมันซึ้งอยู่ในหัวใจ
ได้แต่รอแต่รอ แล้วอีกเมื่อไร โปรดเถอะใจ โปรดจงได้เอ่ยคำ

จะบอกว่ารัก เธอจะซึ้งหรือเปล่า อยากเอ่ยเรื่องราว ที่มันยังคั่งค้างใจ
ถ้าบอกกับเธอ เธอจะรักหรือไม่ ได้แต่ถอนใจ เก็บเอาไว้ไม่กล้าบอกเธอ

เพียงแค่คำๆ นี้ยากเย็นเหลือเกินให้เธอได้รู้ เมื่อลองคิดดู ก็อยู่เพียงแค่ใจ
ได้แต่รอแต่รอ แล้วอีกเมื่อไร โปรดเถอะใจ โปรดจงได้เอ่ยคำ

จะบอกว่ารัก เธอจะซึ้งหรือเปล่า อยากเอ่ยเรื่องราว ที่มันยังคั่งค้างใจ
ถ้าบอกกับเธอ เธอจะรักหรือไม่ ได้แต่ถอนใจ เก็บเอาไว้ไม่กล้าบอกเธอ

แสนจะทนทรมาน วอนให้ฝันช่วยบันดาลภายในใจ
ให้ตัวฉันมีกำลังจะพูดไป เอ่ยความในจากใจนี้
รักเพียงเธอมายาวนาน พอจะบอกมันสั่นสะท้านทุกที โอ้คนดีใจดวงนี้มีแต่เธอ

จะบอกว่ารัก เธอจะซึ้งหรือเปล่า อยากเอ่ยเรื่องราว ที่มันยังคั่งค้างใจ
ถ้าบอกกับเธอ เธอจะรักหรือไม่ ได้แต่ถอนใจ เก็บเอาไว้ไม่กล้าบอกเธอ

จะบอกว่ารัก เธอจะซึ้งหรือเปล่า อยากเอ่ยเรื่องราว ที่มันยังคั่งค้างใจ
ถ้าบอกกับเธอ เธอจะรักหรือไม่ ได้แต่ถอนใจ เก็บเอาไว้ไม่กล้าบอกเธอ

ได้แต่ถามใจ ว่าเมื่อไร จะกล้าบอกเธอ.....




ปล. จริงๆ ว่าจะเอาเพลง"บอกรักในใจ"ของโจ้ ธนรัฐ แต่ยังหา MV ไม่เจอ ไว้เจอจะเอามาเอา แต่มันก็เป็นเพลงไทยสากลคนฟังดนตรีคลาสสิคคงฟังไม่เข้าหูแน่ๆ

22 ตุลาคม 2551

เรื่องเล่าความรัก

ห้องสภานิสิตยามเย็นแบบนี้ช่างเหมาะสมกับการเขียนบันทึกประจำวันเสียจริงๆ เมื่อวานก็มานั่งใช้อินเทอร์เน็ตที่นี่เขียน วันนี้ก็ขออนุญาตใช้ที่นี่อีกสักหนแล้วกันนะ ไหนๆ ก็ไม่ค่อยมีคนขึ้นมาอยู่หรือใช้งานห้องสภานิสิตสักเท่าไร มีข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่บ้าวนเวียนขึ้นมาห้องแทบทุกวันทำไมก็ไม่รู้ ห้องก็ร้อนแถมยังรกอีกต่างหาก เอิ๊กๆ (ชาวสภาฯ มาเห็นคงด่าตายเลย)

วันนี้เกิดอารมณ์เปลี่ยว หุหุ มาเขียนถึงความรักของตัวเองดีกว่า มีแฟนเป็นจริงเป็นจังเป็นเรื่องเป็นราวแค่ ๒ คนแล้วนะ คนอื่นๆ อาจจะแค่ชอบๆ จีบๆ ทั้งสำเร็จและไม่สำเร็จ เหตุผลส่วนใหญ่ที่ไม่สำเร็จก็มีมากมายเลย ส่วนใหญ่ก็เป็นฝ่ายตรงข้ามไม่สนใจให้เป็นเพื่อนหรือพี่หรือน้องกันไปดีกว่า และอีกหลายๆ ครั้งเพราะกลัวเค้าไม่สนใจเลยยอมแอบชอบข้างเดียวต่อไป

เห็นข้าพเจ้าเป็นคนแบบนี้แต่จริงๆ เป็นคนที่ sensititive และขี้อายนะ เป็นพวก"ไม่พูดก็กลัวเสียใจ แต่บอกไปก็กลัวเสียเธอ" จะให้ไปบอกเค้าได้ไงว่าชอบตรงๆ แต่ถ้าบอกไปแล้วก็จะพยายามตื้อสุดๆ (แม้ว่าจะรู้ผลลัพธ์ก็ตาม) แต่ถ้าหากเห็นว่าคนที่เราชอบมีคนมาชอบก็มักจะค่อยๆ ตีตัวออกห่างปล่อยให้คู่ที่เค้าเหมาะสมมากกว่าดีกว่า (พระเอกโคตรๆ)

ชีวิตของข้าพเจ้าก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ รอคนมาจีบข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้ผล เพราะไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะมีคนมาสนใจอะไร(คราวที่แล้วถึงเลือกเพลงคนที่ไม่เข้าตา) จะไปจีบเค้าก็แห้วมาส่วนใหญ่ แถมเป็นคนที่คิดมากด้วยชอบคิดไปเองว่าอีกฝ่ายจะชอบหรือไม่ชอบข้าพเจ้าแล้ว ทั้งที่ความจริงอีกฝ่ายจะยังไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลยก็ได้ เอิ๊กๆ

คราวนี้ขอเลือกเพลงนี้มาปิดท้ายบันทึกประจำวันของข้าพเจ้าดีกว่า ชอบเนื้อหาของเพลงตรงกับบุคคลิกของข้าพเจ้าดีโดยเฉพาะท่อนฮุคเนี่ย ฟังแล้วบอกได้เลยว่าใช่เลย เพลงอาจจะเก่าหน่อยนะ ถือว่าไปย้อนยุคสมัยที่พี่เจมส์ยังอยู่ที่ RS Promotion และจอยรินลนียังสาวๆ เข้าวงการใหม่ๆ อยู่เลยนะ แถมตอนนี้โสดแบบนี้ มีใครจะยอมมาเป็นแฟนข้าพเจ้าบ้างไหมครับหุหุ


เพลง : ยอม
เจมส์ เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์

จากใจดวงเดียวที่มีให้เธอ ฉันรู้ว่ามันคงต้องผิดหวัง
ที่ว่างที่เธอมีอยู่ในหัวใจ มีใครคนหนึ่งอยู่ไม่ใช่ฉัน

ยืนยันจะรักเธอทั้งหัวใจ ถึงแม้ต้องโชคร้าย ต้องเสียใจ
ฮืม...ซักเท่าไร

อยากให้เธอรักฉันบ้างสักนิด ก็ต้องยอม แม้แลกด้วยทุกอย่างที่ฉันมี
จบอย่างไรฉันรู้ดี แค่วันนี้เธอรักฉัน พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรฉันก็ยอม

อยากให้รู้ไว้ ว่ามีแต่เธอในใจ ช่วยรับฉันไว้ในใจเธอนะ

อยากมีเพียงเธอไม่อยากรักใคร แค่ขอความเห็นใจ จากเธอนั้น
บางเสี้ยวบางเวลา ที่เราพบกัน ลืมเขาสักนาที จะได้ไหม

ยืนยันจะรักเธอ ทั้งหัวใจ ถึงแม้ต้องโชคร้าย ต้องเสียใจ
ฮืม...ซักเท่าไร

อยากให้เธอรักฉันบ้างสักนิด ก็ต้องยอม แม้แลกด้วยทุกอย่างที่ฉันมี
จบอย่างไรฉันรู้ดี แค่วันนี้เธอรักฉัน พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรฉันก็ยอม

หลงเหลือไว้เพียง แค่เคยรักกัน มันก็ยังดี กว่าไม่เคยรัก

อยากให้เธอรักฉันบ้างสักนิด ก็ต้องยอม แม้แลกด้วยทุกอย่างที่ฉันมี
จบอย่างไรฉันรู้ดี แค่วันนี้เธอรักฉัน พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรฉันก็ยอม

จบอย่างไร ฉันรู้ดี แค่วันนี้ เธอรักฉัน พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรฉันก็ยอม




ปล.บันทึกของข้าพเจ้าไม่ค่อยมีคนมาอ่านเลย คนแสดงความคิดเห็นยิ่งไม่มี น่าเศร้ายิ่งนัก

21 ตุลาคม 2551

เหนื่อย เบื่อ เซ็ง เหงา

เห็นหนังตามโรงหลายๆ ครั้งชอบซอยเป็นตอนย่อยๆ คราวนี้จะเขียนบันทึกแบบนั้นบ้าง เอิ๊กๆ เป็นบันทึกถึงชีวิตในช่วงนี้โดนแบ่งเป็น ๔ องค์นะครับ ได้แก่ เหนื่อย เบื่อ เซ็ง เหงา (แอบเลือกเฉพาะคำที่ขึ้นต้นด้วยสระเอ เพราะเทอมนี้เกรดที่ได้มาไม่มีเกรด A สักวิชาเลย มาให้ A ตัวเองก็ได้ หุหุ)

เหนื่อย ช่วงนี้เหนื่อยมากครับ งานเยอะมากถึงมากที่สุด ทั้งงานราษฎร์และงานหลวง ไม่รู้ทำไมมันชอบจะมารุมกันในช่วงเวลาเดียวกันทั้งนั้น ช่วงนี้แทบจะงานแบบวันชนวันเลยนะ บ้านที่ต่างจังหวัดก็ไม่ได้กลับเหมือนคนอื่นเค้า เที่ยวไหนก็ไม่ค่อยได้ไปอีก เลยเกิดอาการเหนื่อยมาก หรือว่าเพราะข้าพเจ้าแก่แล้วก็ไม่รู้นะ เลยเหนื่อยง่ายแบบนี้

เบื่อ กับเรื่องงานในหลายๆ อย่าง ทั้งค่ายที่ไปมา ที่ staff หลักก็จัดงานไม่ดี staff รุ่นพี่ๆ ก็เจ้ายศเจ้าอย่าง ไร้สาระดีจริงๆ ปีหน้าอาจจะไม่ไปแล้วค่ายนี้ งานสภาฯ ก็ดูหลายๆ คนเอื่อยๆ กันด้วย งานโปรเจ็คก็ไม่อยากจะด่าหรือว่าเพื่อนให้ทำงานแล้ว นอกจากนี้ก็เบื่อกับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่เข้ามาในชีวิตด้วย บ่นอย่างกับคนแก่

เซ็ง มากมายเลยครับเรื่องนี้ ปิดเทอมที่ไม่ได้ปิด หรือทำอะไรแล้วไม่ได้อย่างใจเลย ทำให้เกิดอาการเซ็งมากถึงมากที่สุด งานเยอะแต่ก็ไม่เกิดรายได้สักงาน ช่วงนี้จนลงอย่างยิ่งด้วย มีแต่เรื่องที่ต้องใช้เงินทั้งนั้น จะเก็บเงินดาวน์คอนโดฯ คงจะต้องพับโครงการไปก่อน อยากทำงานหาเงินเพิ่มก็ไม่ได้ เพราะเอาเวลาไปทำสิ่งที่ไม่ได้เงินหมดเลย

เหงา คนโสดก็แบบนี้ล่ะครับ ล่าสุดก็รู้สึกชอบน้องคนหนึ่งขึ้นมา นิสัยฮาดีต๊องๆ น่าลองจีบมาเป็นแฟนนะ แต่ก็ไม่คู่ควร เอิ๊กๆ น้องเค้ารวยดูดีลูกคุณหนูอนามัยแต่ข้าพเจ้าจนดูแย่ลูกคุณหมูซกมก แล้วก็น้องเค้าจะชอบกับหนุ่มคนอื่นอยู่ เห็นหยอกล้อกันหนุงหนิงน่าดู สุดท้ายข้าพเจ้าก็คงต้องถอยตัวออกห่างไปกินแห้วตามระเบียบ อิอิ

สำหรับเพลงปิดท้ายคราวนี้เลือกเพลงที่เหมาะกับตัวเองมากๆ เพราะเป็นทั่วไป หน้าตาไม่ดี ร้องเพลงไม่เก่ง ดนตรีไม่เป็น กีฬาไม่ได้ การศึกษาไม่สูง ฯลฯ แถมเนื้อเพลงเอามาเป็น ๒ ภาษาด้วย เผื่อมีคนที่เข้ามาดูภาษาไทยไม่แข็งแรงก็ดูภาษาอังกฤษได้ จะได้เข้าใจความหมายของเพลงและความรู้สึกของผม เอิ๊กๆ


เพลง : คนที่ไม่เข้าตา
Calories Blah Blah


มองใครต่อใครที่เดินจับมือเกี่ยวกัน
Looking around seeing people hold hands.
เห็นเค้าเหล่านั้นก็นึกอิจฉาในใจ
Watching them makes me jealous inside.
ทำไมไม่เป็นไม่มีอย่างเขา คิดแล้วมันก็เศร้าใจ
Why isn’t there anyone beside me? Thinking of it only makes me sad.

*มีเพียงความเหงา ให้เดินกอดคอเท่านั้น
Only loneliness to hold on too.
ที่นั่งติดกันเวลาดูหนัง คือใคร
Who’s the next person beside me at the movies.
จะกิน จะเดิน จะนอน ก็เหงา
Even when eating, walking or sleeping, I’m lonely.
ไม่มีใครเคียงข้างกาย ไม่มีใครเลย
But still no one beside me. No one at all.

**จะมีใครใครรัก คนหน้าตาอย่างฉัน
Would anyone love me? A person with my looks.
ที่มันธรรมดาไม่เข้าตาเหมือนใครๆ
Without the good looks, that has little appeal.
จะมีใครใครไหม ที่จะมองแต่หัวใจ
Is there anyone who’d see through me, into my heart.
จะมีไหมใครเข้าใจรักกัน
Is there anyone who’d love and understand.

จะมีกี่คนที่เค้าจะมองอย่างนั้น
How many people would see me that way.
จะมีสักวันบ้างไหม ที่ฝันเป็นจริง
When is it that my dreams will come true.
จะมีกี่คนที่เขาจะรับ ที่ฉันเป็นได้ทุกสิ่ง
And who might accept me in everything that I am.

(ซ้ำ *, **)

มองเห็นความสำคัญ จับมือกอดฉันด้วยความเต็มใจ
Someone who thinks I’m special and willingly hold my hands.
จะยอมให้ทุกทุกสิ่ง ที่ตัวฉันมี
All I have, will be given to the person whole heartedly.
จะไม่ทำให้เค้าผิดหวังเลยสักครั้ง
That someone I won’t ever let down (make disappointed).

(ซ้ำ **, **)




ปล. เมื่อไรที่ข้าพเจ้าจะเป็นคนที่เข้าตาบ้างนะ จะได้มีคนมาสนใจสักที

16 ตุลาคม 2551

หลงรัก Gmail แล้ว

เช้านี้ตื่นขึ้นมาโดยไม่สามารถนอนได้เต็มหลับ เพราะมีงานโปรเจ็คที่(ทำยังไงก็)ไม่เสร็จรอเราอยู่ในคอมพ์(หลับคาคอมพ์มาหลายคืนแล้ว) แต่พอตื่นขึ้นมาครับพอแตะที่ Touch Pad แล้วก็ต้องงงว่าทำไมต้องใส่รหัสผ่านเครื่อง เริ่มคิดในใจแล้วว่ามันต้องซวยรับเช้าวันใหม่แน่ๆ แล้วก็พบว่าจริงที่ Windows Update ตัวเองแล้วมันก็คงรีสตาร์ทให้(ด้วยความหวังดี) แทบคลั่งทันทีเพราะงานที่พิมพ์แล้ววางไว้ใน Notepad หายไปหมดเลย T_T ไมโครซอฟต์เอางานข้าพเจ้าคืนมาด้วย

เมื่อวานได้มีโอกาสลองใช้ Gmail ในหลายๆ อย่างที่ไม่เคยใช้ตามคำแนะนำของคุณน้องคิม ประธานสภานิสิต ที่จริงก็รู้นะว่ามันทำอะไรได้เยอะ แต่ก็ไม่เคยจะคิดใช้เพราะมีอีเมลล์หลักถึง ๓ ตัวล่ะ(มันจะใช้อะไรมากมาย) แต่ก็ลองๆ มาเล่นดูว่ามันจะดีเพียงใดเพราะต้องสมัครเมลล์ฝ่ายในสภาฯ พอดี แล้วก็พบว่ามันดีทีเดียวครับ

ระบบค่อนข้างง่าย ให้คนที่โง่จนถึงเก่งสามารถใช้งานได้ ชอบ GUI มันด้วยนะดูเรียบๆ เท่ๆ ดี แต่ก็ยังแอบงงในการแก้ไขหรือใช้งานในหลายๆ ส่วนอยู่ อาจจะต้องศึกษาก่อน ยังแอบนึกในใจเลยว่าจะเอาเมลล์ Gmail ที่มีอยู่ไปทำให้ออน MSN ได้แล้วใช้เป็นเมลล์หลักเลยดีหรือเปล่าเนี่ย แล้วก็จะได้โหลด Chrome มาใช้งานด้วยเลย อิอิ

เป็นอีกหนึ่งครั้งนะครับ ที่นานๆ ทีวชิรัตน์จะเขียนบันทึกให้(กึ่ง)มีสาระ ปกติจะเขียนพร่ำเพ้อไม่มีสาระเท่าไร ตอนนี้ต้องขอเวลาไปปั่นโปรเจ็คนรกมากมายต่อ พรุ่งนี้และอีกสุดสัปดาห์มีค่าย YWC ที่ ม.บูรพา ไม่รู้จะได้ไปหรือเปล่า ถ้าปั่นโปรเจ็คไม่เสร็จก็อดไปแน่นอนครับ แต่อยากไปนะอยากไปทะเล ไม่ได้ลงน้ำทะเลก็ได้ แค่ได้กลิ่นไอทะเลก็มีความสุขแล้ว

ปิดท้ายด้วย MV จาก YouTube เช่นเดิมนะครับ มีรุ่นน้องมาปรึกษาว่าชอบคนๆ หนึ่งทำไงดี อยากแนะนำให้รีบบอกเค้าไปเลยครับ ช้าไปอาจจะโดนคนอื่นแย่งไป(แบบข้าพเจ้า)ก็ได้ เหมือนตอนนี้ที่ข้าพเจ้าได้บอกรัก Gmail ไปแล้ว เอิ๊กๆ


เพลง: บอกให้รู้ว่ารักเธอ
ดัง พันกร บุณยะจินดา

ไม่รู้ว่าเธอได้ยินมันบ้างหรือเปล่า เข้าใจไหม เข้าใจบ้างไหม
ถึงฉันจะไม่เคยกระซิบออกไป แต่ในใจตะโกนว่ารัก

กี่ทีที่มองเบอร์เธอจนมันท้อ ว่าจะโทรไปแล้วก็กดทิ้ง
นอนไม่ค่อยหลับ มันคิดถึงจริงๆ แต่ยิ่งคิดยิ่ง ฮือ...

กี่วาเลนไทน์แล้วนะที่ผ่านไป แต่ไม่เคยพูดไปให้เธอรู้
ทั้งที่พบกันบ่อย ทั้งที่คบกันอยู่ แต่ดูไกลออกไป
ไม่อยากให้เป็นอย่างนี้ต่อไป มันหวั่นไหว
กลัวว่าในสักวันเจอะกับคำว่าสาย

ไม่รู้ว่าเธอได้ยินมันบ้างหรือเปล่า เข้าใจไหม เข้าใจบ้างไหม
ถึงฉันจะไม่เคยกระซิบออกไป แต่ในใจตะโกนว่ารัก

ที่รู้ก็คือว่าใจตัวเองของฉัน มันบงการให้สารภาพในความรู้สึก
ที่เก็บลึก ให้เธอรู้วันนี้ ว่ารักเธอ

ฟังเพลงจากวิทยุที่เปิดไว้ เป็นเรื่องคนๆ หนึ่งที่ต้องช้ำ
ตอนที่มีโอกาสเขาก็ไม่ยอมทำ มัวแต่รออะไรก็ไม่รู้
เมื่อก่อนเคยคิดว่าพร้อม เคยบอกเธอ แต่ถ้าไปไม่ถึงคงปวดร้าว
หากว่าฉันได้บอก เธอแค่พูดเบาๆ มาบอกอะไรตอนนี้

ไม่อยากให้เป็นอย่างนี้ต่อไป มันหวั่นไหว
กลัวว่าในสักวันเจอะกับคำว่าสาย

ไม่รู้ว่าเธอได้ยินมันบ้างหรือเปล่า เข้าใจไหม เข้าใจบ้างไหม
ถึงฉันจะไม่เคยกระซิบออกไป แต่ในใจตะโกนว่ารัก

ที่รู้ก็คือว่าใจตัวเองของฉัน มันบงการให้สารภาพในความรู้สึก
ที่เก็บลึก ให้เธอรู้วันนี้ ว่ารักเธอ

เป็นคำๆ เดียวแค่เท่านั้นเอง พูดไปแล้วถ้าผลเป็นอย่างไร
คำตอบจากเธอจะดีร้ายเพียงใด ดีกว่าบอกไปตอนที่เธอไม่อยู่ฟัง

ไม่รู้ว่าเธอได้ยินมันบ้างหรือเปล่า (เคยได้ยินบ้างไหม)
เข้าใจไหม เข้าใจบ้างไหม (เธอจะเข้าใจบ้างไหมที่ฉันไม่เคย กระซิบออกไป)
ถึงฉันจะไม่เคยกระซิบออกไป แต่ในใจตะโกนว่ารัก

ที่รู้ก็คือว่าใจตัวเองของฉัน มันบงการให้สารภาพในความรู้สึก
ที่เก็บลึก ให้เธอรู้วันนี้ ว่ารักเธอ

อยากบอกเธอตอนนี้ว่ารักเธอ




ปล. MV เพลงนี้มีหักมุมตอนท้าย ตามแบบของดังพันกรด้วย - -"

15 ตุลาคม 2551

ปิดเทอมจริงเหรอครับ

สาบานได้นะครับว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาปิดเทอมเล็ก เป็นช่วงเวลาที่ให้นิสิตได้พักผ่อนและเตรียมตัวสำหรับการเรียนในภาคกลางศึกษาปลาย แต่ทำไมผมมีงานให้ทำมากมาย ทั้งงานราษฎร์และงานหลวง ได้ไปจุฬาฯ แทบทุกวันเลย ไม่ได้รู้สึกสักนิดเลยว่าช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมเหมือนคนอื่นๆ เค้านะครับ

มีงานโปรเจ็คทั้งโปรเจ็ควิชาเรียนและซีเนียสโปรเจ็ค แถมยังเป็นงานกลุ่มด้วย ต้องรอให้เพื่อนมีอารมณ์อยากทำ แต่เวลาเพื่อนมีอารมณ์บางทีข้าพเจ้าก็ไม่มีอารมณ์อยากทำเลย ผลก็เลยเป็นงานที่ดองไว้ พอจะส่งทีก็รีบปั่นๆ ให้มันเสร็จๆ ลวกๆ ให้พอสุก ไม่ได้มีการสุกหอมกรุ่นพอดีทานเหมือนกลุ่มอื่นๆ หรอก

ส่วนอีกงานที่ใหญ่ช่วงนี้ก็งานสภานิสิต หลายๆ ครั้งที่ไฟในตัวเราลุกโชติช่วงจะทำอะไร ทั้งงานฝ่ายติดตามและประเมินผล งานวารสารVOICE แต่ก็มาเจอหลายคนที่ชิวๆ เกินไป ทำเอาเราไฟจะมอดหลายครั้ง(ด่าก็ขี้เกียจแล้ว) กลัวแต่มันจะพาลให้น้องใหม่ที่มีไฟในการทำงานจะไฟมอดลงไปด้วยนั่นสิ

นอกจากนั้นช่วงนี้ก็มาเรียนร้องเพลงด้วย เรียนพอขำๆ ให้ร้องเพลงไม่เพี้ยน แต่ก็ดูทีท่าว่ามันแค่เพี้ยนน้อยลง แต่ยังไงก็ผิดคีย์นรกเหมือนเดิม แล้วแต่ล่ะเพลงที่อาจารย์ดันเลือกให้ก็ช่างแบบว่าสะเทือนใจสุดๆ เพราะมีความรักกับเพลงเหล่านั้นทั้งนั้น ทั้งอยากรู้แต่ไม่อยากถาม(เธอคนนั้นขอให้เปิดให้ในรายการก่อนขึ้นเครื่อง) บัลลังก์เมฆ(ก็ไปดูละครเวทีมากับเธอ) กลัว(อารมณ์นี้ถึงเธอ) ภาวนา(เธอไปแล้วภาวนาไม่ทันล่ะ) เลือกได้ไหม(ไม่ได้แน่นอน) ตะวันยังมีให้เห็น(แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้เจอกับเธออีกแล้ว) ร้องไปทีก็ได้แต่อารมณ์และความรู้สึกแต่ไม่ได้คีย์เลยให้ตายสิ

ปิดท้ายด้วยเพลงผูกพัน เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องยังไงก็รัก(ยังไม่เคยได้ดูเลยอ่ะ) เป็นเวอร์ชั่นพิเศษที่มีคนทำขึ้นมาครับดูแล้วเหงาและเศร้าได้อารมณืดี นั่งดูเพลินๆ แล้วสามารถร้องไห้ได้(เคยแล้ว) เป็นการนั่งรถไปชมกรุงเทพยามราตรีเพียงลำพังแต่เพียงผู้เดียว เหมือนชีวิตตอนนี้เลย

เพลง: ผูกพัน
บอย ตรัย ภูมิรัตน

นี่ใช่ไหม อะไร อะไรที่เคยคิด
ชีวิตที่มีแต่ฉัน ต่อจากนี้คงตัวคนเดียวอย่างที่คิด
นี่หรือที่ใจต้องการ นี่ใช่ไหมที่ฉันเคยฝันตลอดอยู่ในใจ
ชีวิตที่ไม่มีเธอรู้สึกเหมือนมันขาดอะไรไปไม่เข้าใจ

เก็บเรื่องราวที่มันเก่าๆใส่กล่องไว้ มองเห็นแล้วมันปวดร้าว
รูปถ่ายเราไปเที่ยวด้วยกันเมื่อตอนนั้น ตอนนี้ยิ่งดูยิ่งเศร้า

ไม่มีเสียงคำคำของเขาที่เราได้เคยฟัง
ไม่มีใครให้คอยมาไถ่ถาม เหลือเพียงแค่ความทรงจำ
ที่ย้ำให้รู้ว่า

เธอใช่ไหม ที่หัวใจของฉันผูกพัน
และคือเธอเท่านั้น วันนี้ฉันเพิ่งจะเข้าใจ
ไม่มีเธอมันดูเหงาๆ ยิ้มเศร้าๆบอกตัวเองไว้
นี่ยังไงโลกที่ไม่มี เธอแล้ว

ขาดเธอไปวันนี้ จึงได้เจอความหมาย
ไม่มีเธอวันนี้ ฉันถึงเข้าใจ

เธอใช่ไหม ที่หัวใจของฉันผูกพัน
และคือเธอเท่านั้น วันนี้ฉันเพิ่งจะเข้าใจ
ไม่มีเธอมันดูเหงาๆ ยิ้มเศร้าๆบอกตัวเองไว้
นี่ยังไงโลกที่ไม่มี เธอแล้ว

เธอใช่ไหม ที่หัวใจของฉันผูกพัน
และคือเธอเท่านั้น วันนี้ฉันเพิ่งจะเข้าใจ
ไม่มีเธอมันดูเหงาๆ ยิ้มเศร้าๆบอกตัวเองไว้
นี่ยังไงโลกที่ไม่มี เธอแล้ว

นี่ยังไงโลกที่ไม่มีเธอแล้ว




ปล.ต่อไปคิดว่าจะต้องปิดท้ายด้วย MV จาก YouTube เรื่อยๆ มีหลากหลายเพลงให้ได้ใช้ดี

09 ตุลาคม 2551

พูดตรงตรง

บางทีบางอย่างบางครั้งบางคนก็มีความรู้สึกเป็น ๒ อย่าง แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะแสดงออกแบบไหนมากกว่า จะเก็บความรู้สึกใดเอาไว้ในใจและพูดหรือแสดงสิ่งใดออกมา เหมาะกับคนราศีเมถุนอย่างข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่งเพราะข้าพเจ้าก็มักจะมีความรู้สึกกับเรื่องราวต่างๆ เป็น ๒ ด้านเสมอ แค่จะแสดงความรู้สึกด้านไหนออกมา

บวกกับ Theme วารสาร VOICE เล่มนี้ที่ได้เสนอไปและผ่านแล้วก็คือ Brigth & Blue เป็น Theme เพื่อสะท้อนความรู้สึกว่าสิ่งต่างๆ มันมีมากกว่า ๑ ด้านเสมอ แล้วแต่ว่าเราจะมองอย่างกับเรื่องราวนั้นๆ จะมอง Brigth ดูเรื่องราวนั้นช่างสดใสสวยงาม หรือ จะมอง Blue ดูเรื่องราวช่างโศกเศร้าสิ้นหวัง

เคยไรท์เพลงเป็น CD ให้คนรู้จักคนหนึ่งนะ เป็น CD ๒ แผ่น แผ่นหนึ่งเป็นตัวแทนของ Brigth รวมเพลงดีๆ ที่เกี่ยวกับความรักด้านที่มีความหวัง ส่วนอีกแผ่นเป็นตัวแทนของ Blue รวมเพลงดีๆ ที่เกี่ยวกับความรักในด้านที่เศร้าเสียใจ ไม่รู้ว่าคนนั้นจะเข้าใจความหมายของ CD ๒ แผ่นนั้นหรือเปล่า แต่มันก็เป็นไอเดียที่ต่อยอดมาให้เป็น VOICE เล่มที่กำลังจะออกของสภานิสิตเล่มนี้

พอพูดถึง Brigth & Blue และการแสดงออกของคนก็นึกถึงเพลงๆ หนึ่งที่ก็โอเคนะ ชอบพอสมควรแต่ร้องยากพอสมควรเช่นกัน(เรียกว่าพูดมากกว่าร้องจะดีกว่า) เป็นเพลงที่น่าฟังและดู MV อีกเพลงหนึ่ง เพราะมิวสิควีดีโอแอบแฝงความหมายไว้เหมือนกัน แล้วแต่ว่าจะดูแล้วเข้าใจไหมนะว่าเพลงมันสื่ออะไร

ฉันน่ะเฝ้ามองเธอกับเขามีความสุข
สายตาที่เขามีให้เธอคือทุกๆอย่าง
แต่สิ่งที่เป็นเรื่องสำคัญ นั้นคือสายตาของเธอ
ที่..มองดูกับด้วยความรัก และความชื่นชม
ท่า..ทีที่สุขสม ที่มีเขาอยู่ข้างกาย
เป็นอะไรที่เหมาะสมทุกอย่าง คู่ควรกันในทุกๆด้าน

* แต่ทำไมก็ไม่รู้..หัวใจ ยิ่งได้เห็นเธอกับเขาใกล้ๆ
น้ำตานั้นก็ไหลออกมาไม่รู้ตัว

** ไม่รู้ว่าฉันอิจฉาหรือว่าสุขใจ น้ำตาที่ไหลนั้นไหลมาจากจุดไหน
เป็นเพราะฉันเสียใจ หรือเป็นเพราะฉันชื่นชม
ที่ได้เห็นเธอกับเขา รักกันขนาดนี้ ฉันควรจะยินดีที่เห็นเธอสุขสม
มากกว่าที่จะรู้สึก ไม่อยากให้เป็นเขาเลย พูดตรงๆ

ฝืน..ที่จะยิ้มและหัวเราะให้มีความสุข
เพราะ..ว่าฉันรู้ว่าเป็นสิ่งเดียวที่จะให้ได้
พยายามจะไม่คิดถึงวัน ที่ฉันเคยมีเธอข้างกาย
ฉัน..ควรดีใจที่ได้เห็นเธอมีความสุข
ฉัน..ควรจะลุกไปพูดคุยและไปทักทาย
เธอกับเขาเหมาะสมกันทุกอย่าง คู่ควรกันอย่างมากมาย

(*,**,**)

เพราะว่าฉันอิจฉาหรือสุขใจ น้ำตาที่ไหลนั้นไหลมาจากจุดไหน
เป็นเพราะฉันเสียใจ หรือเป็นเพราะฉันชื่นชม
ที่ได้เห็นเธอกับเขา รักกันขนาดนี้ ฉันควรจะยินดีที่เห็นเธอสุขสม
มากกว่าที่จะรู้สึก ไม่อยากให้เป็นเขาเลย พูดตรงๆ



ปล.แอบอิจฉาวัยรุ่นเดี๋ยวนี้มีการร้องเพลงให้กัน แล้วแฟนก็เอาเพลงที่อัดไปลงบล็อคตัวเอง

05 ตุลาคม 2551

งานในช่วงนี้

มีงานมากมายหลายอย่างมาให้ทำในช่วงนี้ อาจจะเป็นเพราะอยู่ปี ๔ ด้วยล่ะครับ จึงทำให้มีงานอะไรต่อมิอะไรให้ทำอย่างมากมาย เพราะอีกไม่นานก็จะเข้าสู่ชีวิตของวัยทำงานแล้ว คงไม่มีโอกาสได้ทำอะไรในฐานะนิสิตแล้ว เพราะฉะนั้นช่วงนี้อยากทำอะไรมากมายเท่าที่แรงกายและแรงใจจะสามารถทำได้ไหวครับ

งานเรียนก็มีซีเนียสโปรเจ็คเป็นตัวหลักที่ยังเป็นลูกผีลูกคนกับเว็บที่ไปรับเงินทุนจากสมาคมนิสิตเก่าวิศวฯ จุฬาฯ มาทำ แรกๆ ก็มีไฟที่จะทำเยอะมากนะ แต่มันเป็นงานทีม ๓ คน ถึงเราจะไฟแรงแต่เพื่อนในทีมไม่มีไฟก็จะพาให้เราไฟมอดด้วย หรือเวลาเพื่อนมีไฟแล้วเราไฟมอดก็จอดเช่นกัน

งานจุฬาฯ วิชาการอันนี้ก็เป็นงานที่ใหญ่เหมือนกันนะ ๓ ปีมีครั้ง ตอนแรกก็ว่าจะไปทำของส่วนกลางและไม่ทำของสาขาตัวเองเพราะอยากปล่อยให้เพื่อนๆ ได้ทำงานดิ้นรนกันบ้าง สุดท้ายก็กลืนน้ำลายตัวเองมาช่วย ๒ โครงการใหญ่ๆ ทั้งเป็นผู้รับผิดชอบเว็บ ๑ โครงการและฝ่ายวิชาการจัดตอบแข่งขันตอบปัญหาด้านคอมพิวเตอร์

งานสภานิสิตเป็นงานใหม่ที่มาทำครับ แต่ก่อนเคยทำแต่ อบจ. แต่กลับมาจากน่านแล้วพี่เก่าๆ ที่รู้จักก็หายไปหมดเลยลองย้ายตัวเองมาทำสภานิสิตดู ก็สนุกดีนะครับมาทำ กมธ ฝ่ายติดตามและประเมินผล ต้องตั้งฝ่ายใหม่ให้กับสภานิสิต ตอนนี้ก็เรื่อยๆ มีปัญหาเรืองใหญ่ๆ ก็คือไม่มีคนอยากทำกิจกรรม แย่หน่อยครับ

งานวิทยุจุฬาฯ ช่วงนี้กลับมาเป็นนิสิตที่เรียนหนักเลยไม่ได้ไปแจมกับพี่ๆ ที่สถานีวิทยุเท่าไรนะ แต่เดือนมกราคมจะไปช่วยงานจัดติวของสถานีวิทยุแห่งจุฬาฯ แน่นอน เพราะไม่แน่ว่าอาจจะเป็นโครงการสุดท้ายที่จัดติวก็เป็นไปได้ อะไรก็อาจไม่แน่นอนบนโลกใบนี้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

งานเว็บเด็กดี ไม่ได้ทำงานเป็นตัวหลักมานานพอสมควรเพราะงานเรียนก็หนักแล้ว แต่ก็ยังดูๆ ห้องแชทบ้างและก็ไปช่วยๆ งานตามที่เว็บจัดกิจกรรมบาง เดี๋ยวนี้เด็กดีมีพนักงานมากขึ้นแล้วไม่เหมือนเมื่อก่อน เราเลยขอพักงานมาเรียนเต็มที่ได้ ตอนนี้ก็หวังว่าจบไปจะยังพอมีตำแหน่งเหลือๆ ให้ทำนะ ไม่งั้นก็อาจจะได้กลับไปอยู่บ้าน

งานในสาขา ก็มีเรื่อยๆ ตามสภาพของอุปนายกฝ่ายนอก ไหนๆ สาขาก็โดนปิดตัวลงไปแล้ว งานหลายๆ อย่างก็น้อยลงไป อย่างน้อยงานประชาสัมพันธ์และรับสมัครก็ไม่มี ไม่ต้องหาหลอกน้องให้มาเรียนพัฒนาซอฟต์แวร์ต่อไปเหมือนทุกปี ไม่ต้องตอบคำถามเด็กทาง MSN หรือทางโทรศัพท์แล้ว

ทำงานเยอะๆ ก็ดีอย่างนะ จะได้ดูว่าไม่ว่าง จะไม่ได้ต้องนั่งเหม่อเพ้อล่องลอย จะได้ไม่คิดมากบางเรื่องด้วย เอาเวลามาคิดเตรียมงานกับพักผ่อนแล้วก็เรียนก็พอแล้ว เคยยอมทิ้งงานเพื่อให้มีเวลาว่างๆ แต่เพื่ออะไรกับเวลาเล่านั้น เอาเวลากลับมาให้งานทั้งหลายต่อไป สู้ๆ นะครับวชิรัตน์ นายเข้มแข็งและแข็งแกร่งพอนะ!!

29 กันยายน 2551

นิสัยจิตๆ เพราะเรียนซอฟต์แวร์

ตั้งแต่มาเรียนพัฒนาซอฟต์แวร์ได้ ๓ ปีกว่าๆ (และจะเรียนแค่ ๔ ปีเท่านั้น!) ก็ได้มีนิสัยนิสัยต่างๆ ที่ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นเหมือนโรคจิต(เพราะเรียนคอมพ์) คนที่ไม่เรียนจะรู้สึกว่ามันแปลกแต่ใครที่เรียนคอมพ์ก็คงรู้สึกปกติ(หรืออาจจะเป็นบ้าง) มาลองดูดีกว่าว่าข้าพเจ้ามีอาการอะไรบ้างนะครับ

เวลาพิมพ์วงเล็บเปิดจะต้องพิมพ์วงเล็บปิดทันทีแล้วจึงค่อยพิมพ์ข้อความตามลงไปในวงเล็บ () ติดนิสัยการเขียนตัวแปร แม้จะไม่ค่อยเขียนโค้ดส่งงานเหมือนคนอื่นเค้า แต่ก็ติดนิสัยนะเวลาที่พิมพ์วงเล็บจะต้องเป็นแบบนี้แทบทุกครั้งเลย เลยดูเป็นคนโรคจิตเลยเสียอย่างนั้น

ระบบวันที่จะเป็นปีเดือนวัน ฟังดูงงๆ แต่โดยปกติคนทั่วไปเค้าที่จะตั้งชื่อไฟล์เป็นวันที่ก็มักนิยมจะตั้งเป็นวันเดือนปี(DD-MM-YYYY) แต่พอมาเรียนพัฒนาซอฟต์แวร์ก็ติดนิสัยตั้งชื่อไฟล์หรือโฟลเดอร์เป็นรูปแบบปีเดือนวัน(YYYY-MM-DD) เพี่ให้ไฟล์มันเรียงกันตาม timeline นั่นเอง

ทำอะไรชอบ save เพราะทำอะไรในคอมพ์ก็กลัวเสียเลยจะต้อง save หรือบันทึกงานเรื่อยๆ เล่นเกมก็ save ได้ หลังๆ เลยทำอะไรก็คิดที่จะ save (ทุกอย่างจริงๆ นะ) เคยทำงานที่จะต้องใช้ฝีมือแล้วกลัวทำพลาดเลยจะหาปุ่ม save (เชื่อมันเลย) แถมบางทีทำงานพลาดไปก็จะไปหาปุ่ม Undo หุหุ

พิมพ์งานไปเปลี่ยนภาษาไป เพราะใช้คอมพ์พิมพ์งานประจำไม่ค่อยได้เขียน พิมพ์ไปพิมพ์มาบางทีต้องเปลี่ยนไปพิมพ์ภาษาอังกฤษด้วย เลยจะกดปุ่มเปลี่ยนภาษาที่มุมซ้ายบน แต่พอกลับมาเขียนงานส่งอาจารย์แล้วเขียนไปสักพักต้องเขียนคำภาษาอังกฤษนั่งนึกสักพักว่าจะหาปุ่มเปลี่ยนภาษาตรงไหน ข้าพเจ้าบ้าไปแล้ว!!

นี่เป็นอาการนิดๆ หน่อยๆ ที่เป็นโรคจิตสืบเนื่องจากที่เรียนพัฒนาซอฟต์แวร์นะ จริงๆ มีอีกพอสมควร ไว้โอกาสดีก็เข้ามาถามได้ เหอๆ

ปล.อ่านแล้วสามารถแสดงความคิดเห็นได้นะครับ ไม่กัดๆ

23 กันยายน 2551

เรื่องจริงหรือเปล่า ?

คนหนึ่งวิ่งตาม . . . . อีกคนวิ่งหนี
คนหนึ่งฟุ้งซ่าน . . . . อีกคนไม่คิดอะไรเลย
คนหนึ่งสนใจ ใส่ใจ ดูแล เป็นห่วง . . . . อีกคนไม่เคยรู้สึกว่ามีค่า
คนหนึ่งโทรไปแล้วหาเรื่องคุย . . . . อีกคนรับสายแล้วหาเรื่องวาง




คนหนึ่งอยากเจอนานๆ ทีก็ยังดี . . . . อีกคนทำงาน ไม่ว่าง อยากพัก
คนหนึ่งคิดถึงอีกคน . . . . แต่อีกคนแกล้งทำเป็นไม่รับรู้
คนหนึ่งเพิ่งหยุดร้องไห้แล้วโทรหา . . . . อีกคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียงเปลี่ยนไป




บางครั้ง . . . .
คุณควรคิดย้อนกลับไปถึง คนที่เค้ารักและเป็นห่วงคุณบ้าง
อย่าทำเหมือนความรู้สึกและสิ่งดีๆ . . . .
. . . . ที่เค้าทำให้คุณ ไม่มีค่า ไม่มีความหมายอะไรเลย




อย่าทำร้าย ความรู้สึกของคนที่รักคุณ ด้วยการไม่สนใจเค้า
โปรด . . . . ดูแลความรู้สึกของคนข้างๆ คุณบ้าง
อย่าให้ความรู้สึกดีๆ ต้องจางหายไป
ไม่เช่นนั้น . . . . คุณอาจมานั่งเสียใจทีหลังก็เป็นได้


21 กันยายน 2551

วชิรัตน์ทำอะไรได้มากกว่าที่คุณคิด

เมื่อกล่าวถึงวชิรัตน์แล้วหลายๆ คนคงถึงชายหนุ่มอ้วนเตี้ยคนหนึ่งที่หน้าตาเห่ยๆ หน้ากลัวๆ (- -") ซึ่งปัจจุบันยังมีสถานภาพเป็นนิสิตหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาซอฟต์แวร์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ใครเลยจะคิดว่าวชิรัตน์มีความสามารถในหลากหลายอาชีพมากกว่าแค่เป็นนิสิตด้วย

จัดรายการวิทยุ แม้จะดูพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องแต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าวชิรัตน์จะจัดรายการวิทยุด้วยที่วิทยุจุฬาฯ ไปแจมๆ เค้าเรื่อยๆ จริงๆ อยากทำโปรดิววเซอร์มากกว่า(ผู้ผลิตรายการไม่ต้องมาจัดเอง) แต่เนื่องจากวิทยุผู้ผลิตส่วนใหญ่ก็คือผู้จัดรายการเองด้วย เลยได้โอกาสดีมาจัดรายการ จริงๆ แล้วจัดรายการมาตั้งแต่มัธยมประมาณ ม.๓ แต่ที่บ้านไม่เคยรู้ - -" เหอๆ ถ้าที่บ้านรู้ก็คงไม่ให้จัดอย่างแน่นอนเลยเชียว

คอลัมนิสต์ ไม่น่าเป็นไปได้อีกแล้วใช่ไหมครับที่วชิรัตน์จะเขียนบทความได้ ข้าพเจ้าเป็น web content ที่เว็บ www.dek-d.com ครับ ทำในส่วนของการศึกษาแอดมิชชั่นพวกนั้นล่ะ แต่ก่อนทำมากกว่านั้นเยอะครับ แต่พักหลังๆ เรียนนักมากมายเลยเขียนน้อยลง เว็บมีทีมงานมากขึ้นด้วยล่ะ รอให้ข้าพเจ้าเรียนจบก่อนแล้วจะไปทำงานในส่วนนั้นเต็มเวลา

นักจิตวิทยา ไม่ได้เก่งอะไรหรอกครับ แต่สืบเนื่องจากสิ่งที่แล้วต้องทำเรื่องการศึกษาเลยต้องให้คำแนะนำแก่นักเรียนบ่อยๆ โดยส่วนตัวก็ชอบอะไรด้านนี้อยู่แล้ว ทำไปทำมาก็สนุกดีนะครับ หลังๆ ก็ช่วยปรึกษาปัญหาให้คนทั่วไปด้วย พอได้มาทำงานประมาณนี้ก็ได้รู้จักผู้คนมากขึ้น ตอนนี้ยังแอบอยากต่อ ป.โท ด้านจิตวิทยาเลย แต่ไม่รู้ว่าแค่ ป.ตรี จะจบหรือเปล่า เอิ๊กๆ

นักแสดง ไม่ได้ไปเล่นอะไรตามโทรทัศน์หรอกครับ แต่ก็พอได้มีโอกาสเล่นพวกนี้พอสมควรทั้งในละครวิทยุ และตามค่ายต่างๆ เอิ๊กๆ แต่ฝีมือก็ยังอ่อนหัดนัก แต่ก็เป็นอะไรที่สนุกดีนะที่ต้องมารับบทบาทอะไรสักอย่าง ที่โดยปกติในชีวิตเราก็ไม่ได้มีโอกาสแบบนั้นแน่ๆ แต่คงไม่เทพพอไปเล่นตามภาพยนตร์หรือโทรทัศน์หรอกนะครับ เล่นพอขำๆ

นักข่าว เอากับเขาด้วยสิ ก็ทำวิทยุไงครับ เขียนคอลัมน์ด้วย เลยพอทำข่าวเป็นนิดๆ หน่อยๆ เคยรายงานข่าวสดๆ ออกรายการวิทยุด้วยนะครับ กลัวมากมายแต่ก็ฮาดีนะ อยากไปทำข่าวสายต่างๆ ดูนะ เพราะหลักๆ ทำในสายการศึกษา ตามประเด็นพวกนั้น ฯลฯ รวมไปถึงข่าวลับๆ gossip ในคณะก็ทำนะ เอิ๊กๆ ใครอยากเป็นข่าวบอกกันได้

นักสืบ ไม่ถึงประมาณไอ้จ๊อกในสายลับจับบ้านเล็กหรอกนะ แต่อยากให้สืบเรื่องอะไรก็พอช่วยสืบๆ หาเบาะแสได้ อาจจะเพราะทำนักข่าวด้วยมั้ง เลยมักจะได้เซ้นส์ถึงเหตุการณ์ต่างๆ แล้วก็แนวโน้มความน่าจะเป็น จนเพื่อนๆ หลายคนยังแซวว่าจบไปให้ไปทำอาชีพนักสืบก็น่าจะเหมาะกับวชิรัตน์นะ แต่บางทีก็ออกแนวเสือกมากกว่าสืบนะ เอิ๊กๆ

พิธีกร จัดรายการวิทยุได้ทำพิธีกรก็คงไม่น่าแปลกอะไรนะ เคยทำมาหลายงานล่ะ ตั้งแต่งานเล็กๆ ในห้อง โรงเรียน คณะ มหาวิทยาลัย งานอีเวนท์ต่างๆ พอสมควร งานแต่งงานก็เคยเป็นมาแล้วนะมีพี่ที่รู้จักกล้าจ้างไปเป็นพิธีกรงานแต่งเค้า เราก็บ้าจี้ทำไปได้ ใครอยากได้พิธีกรค่าตัวไม่แพงก็สามารถมาจ้างงานผมได้นะ ทำได้หลากหลายรูปแบบ

นักจัดกิจกรรม พออยู่มหาวิทยาลัยก็ได้รับโอกาสให้จัดกิจกรรมนั่น กิจกรรมนี้บ้างตามโอกาสจะเอื้ออำนวย หลังๆ ก็มีคนจ้างไปจัดงานให้เค้าบาง ทั้งไปช่วยๆ และไปเป็นตัวหลักในงาน บางทีก็แค่คิดให้เฉยๆ บางทีก็ต้องไปจัดกิจกรรมต่างๆ เหล่านั้นเองเลย แต่ละกิจกรรมก็จะมีอะไรที่สนุกสนานแตกต่างกันออกไปต่างๆ นานา

ครีเอทีฟ อีกหนึ่งอย่างที่ชอบทำโดยส่วนตัวด้วยนะก็คือสิ่งนี้ ว่างๆ ก็ชอบคิดอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ อะไรที่คนทั่วไปไม่ค่อยคิดวชิรัตน์จะคิด โดยส่วนตัวคิดว่าถ้าสมองไม่ใช้เลยความคิดจะตันแล้วคิดอะไรสร้างสรรค์ๆ ไม่ได้ เลยเป็นคนชอบคิดนั้นคิดนี้ บางทีก็ออกแนวคิดมากเกินไปจนไม่จำเป็นด้วยซ้ำ

นี่เป็นเพียง ๙ อย่างที่คิดขึ้นมาได้ในตอนนี้ เห็นหรือยังล่ะว่าวชิรัตน์สามารถทำอะไรได้มากมาย ใครสนใจจ้างไปใช้งานหรือจะมาชวนไปทำอะไรก็ติดต่อมาได้นะ ทำได้ทุกอย่างยกเว้นอย่างเดียวคือทำให้มันดี เอิ๊กๆ วันนี้อัพบล็อกยาวมากมาย ยาวที่สุดในประวัติกาลเลยมั้งเนี่ย ไว้นึกได้ว่าทำอะไรได้อีกจะมาเล่าให้ฟังใหม่นะครับ

18 กันยายน 2551

อดทนเวลาที่ฝนพร่ำ

....อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ....

เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับฝนอีกแล้วครับ ชีวิตข้าพเจ้าผูกพันธ์กับเรื่องของฟ้าของฝนเสียจริงๆ แถมคราวนี้มาเป็นเพลงเสียด้วย จริงๆ ก็ไม่ได้เจะมาเขียนบันทึกกับภาพยนตร์ฤดูที่แตกต่างหรือมาเขียนอะไรที่เกี่ยวกับฝนอีกหรอกครับ แต่เผอิญความรู้สึกในช่วงนี้มันรู้สึกเข้ากับเพลงนี้เสียจริงๆ ให้ดิ้นตาย

สิ่งแรกที่ต้องอดทนก็คือการเรียนครับ อดทนอย่างไงเหรอ ก็ช่วงนี้โปรเจ็คเยอะมากๆ แล้วก็มีสอบมีอะไรด้วย ต้องอดทนตั้งใจทำงานมากมาย ไม่ง่วงนอนหรือไปนั่งเล่น MSN หรือ Hi5 จนไม่เป็นอันทำการทำงาน แถมโปรเจ็คแต่ละตัวก็ยากเย็นแสนเข็ญจนต้องแก้แล้วแก้อีก นั่งเซ็งไปกันเลยทีเลย

สิ่งต่อมาก็เรื่องเงินเนี่ยละครับ ช่วงนี้ใช้เงินเปลืองมาก เป็นเดือนกันยายนที่โหดรายจริงๆ ต้องพยายามอดทนไม่ซื้อนั่นไม่กินนี่ แต่ยังไงก็มีเหตุให้ได้ใช้เงินอยู่ดี อยากเก็บเงินให้ได้สักก้อนแล้วไปดาวน์คอนโดมิเนียมเองสักห้อง ใกล้จะจบแล้วอยากมีที่อยู่เป็นของตัวเองบ้าง เพราะคงจะได้ทำงานใน กทม แน่ๆ

เรื่องถัดไปที่ต้องอดทนก็เรื่องสุขภาพ ช่วงนี้ปวดหัวบ่อยๆ อาจจะเพราะผลกระทบจากการพักผ่อนน้อย แล้วก็ปวดหลังมากๆ วันก่อนลื่นล้มในห้องเรียน(แล้วด้วยความประสาท)ก็เอาหลังไปฟาดกับคิ้วบันได เพราะแบกและกอดโน้ตบุ๊คไว้ข้างหน้าสุดชีวิต ถ้าโน้ตบุ๊คเจ๊งมากก็คงจะซวยอีกเป็นแน่แท้ แต่เจ็บหลังจริงๆ หลายวันแล้วนะก็ไม่หาย

เรื่องสุดท้ายที่ต้องอดทนก็คงเป็นเรื่องความรักมั้ง(เสี่ยวว่ะ) ต้องทำอะไรที่ขัดกับหัวใจตัวเอง พยายามทำอะไรตรงข้ามกับที่ต้องการ เซ็งจริงๆ เลย เพราะรักเค้ามากล่ะมั้งจึงอยากให้เค้าได้เจอคนที่ดีๆ กว่าเรา พยายามอดใจไม่พูดไม่คุย อดทนเวลาที่เค้าติดต่อเค้ามา เหอๆ ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้ล่ะ

ช่วงนี้คงต้องอดทนต่อไปเพราะว่าเป็นฤดูฝนหนิ อีกไม่หนาวก็ฤดูหนาว(ฤดูเหงา)ก็จะมาเยี่ยมเยือนล่ะ หรือเราจะวิ่งฝ่าสายฝนไปเล่นน้ำฝนเลยดีไหม หลังฝนซาฟ้าย่อมสดใสพร้อมสายรุ้งงาม

15 กันยายน 2551

ยอมแพ้ Hi5 แล้วครับ

ความเดิมตอนที่แล้วๆๆๆๆ คือให้ตายยังไงข้าพเจ้าก็ไม่คิดจะทำ Hi5 ค่อนข้างแน่นอน เพราะมี Blog เยอะแยะจนดูแลแทบไม่ไหว พยายามหาเหตุผลต่างๆ นานาจากบุคคลที่รู้จัก รวมไปถึงมีการ(แอบ)ทำสำรวจเล็กๆ น้อยๆ ว่าคนที่รู้จักในอินเทอร์เน็ตทำ Hi5 มากน้อยเพียงใด แล้วก็พบว่าประมาณร้อยละ 80 ในรายชื่อทำ Hi5 กันแทบทั้งนั้น

สุดท้ายข้าพเจ้าก็ได้ดูฤกษ์งามยามดี เวลา 0:14 น. ของวันที่ 14 กันยายน 2551 ในการสมัครสมาชิก Hi5 ครับ เพราะไปเช็คจากเว็บมหาหมอดูแล้วเป็นเทวีฤกษ์(เอากับมันสิ) เป็นฤกษ์ที่เหมาะสำหรับ การเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ การหมั้นหมายและสมรส การส่งตัวเจ้าสาวและเข้าห้องหอ การทำกิจการที่ต้องการชื่อเสียงและมีเสน่ห์ งานมีเกียรติ งานเชิงศิลปะตกแต่งชั้นสูง เปิดร้านค้าอัญมณีเครื่องประดับ ร้านเสริมสวย ตัดเย็บเสื้อผ้า การประชาสัมพันธ์ ลาสิกขาบท ขึ้นบ้านใหม่ ขอความรัก งานเพื่อความสงบเรียบร้อย และ สารพัดงานมงคลทั้งปวง เหมาะสุดๆ ในช่วงนี้เลย - -"

Hi5 ของผมก็คือ http://ubyiii.hi5.com ดูเหมือนว่าจะสมัครขึ้นมาตามแรงยุเพื่อสนองกระแสแบบคนอื่นๆ หรือเปล่า จริงๆ แล้วไม่ใช่ครับ สมัครมาเพื่อศึกษาระบบ(ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสาระ!) เพราะเดี๋ยวต้องทำ Senior Project ประมาณเว็บ Hi5 ด้วย ก็เลยสมัครเพื่อมากดๆ ดูระบบของมันนะครับ

แต่ก็เสียเวลาไปแทบทั้งวันกับ Hi5 ทั้งที่โปรเจ็คมากมาย และใกล้การสอบปลายภาคแล้วด้วย แต่ก็ยังสนุกสนานกับระบบของ Hi5 ตอนนี้ก็เลยมานั่งๆ ทำการวิเคราะห์ว่าทำไมคนไทยถึงติดเจ้า Hi5 นี้จัง ไว้ถ้ามีโอกาสดีๆ จะมานั่งระดมสมองให้ได้มาถกมาเถียงกันนะครับ

ไม่น่าเชื่อว่าจะหาเรื่องอัพบล็อกได้ก่อนสอบและทำโปรเจ็คมากมาย เอิ๊กๆ

12 กันยายน 2551

ทำไมต้อง Hi5

...."พี่หยกเล่นไฮไฟว์ไหมค่ะ"....
...."หยกมีไฮไฟว์ไหม"....
...."แอดไฟว์กรูมาดิ"....
...."เดี๋ยวไปเม้นในไฟว์นะ"....
แล้วข้าพเจ้าจำเป็นต้องมีต้องไฮไฟว์เหมือนคนอื่นๆ เค้าด้วยเหรอ ????

จริงๆ โดยส่วนตัวก็รู้จักเจ้า Hi5 เนี่ยมานานแล้วนะ ประมาณ ๓ ปีแล้วมั้ง ก่อนที่กระแสฮิตๆ มันจะมีมาด้วยซ้ำ มันก็เป็น Web Log ยี่ห้อหนึ่ง โดยส่วนตัวตอนนั้นก็ทำ My.iD ที่เด็กดีอยู่แล้ว เลยไม่ได้คิดว่าจะทำไฮไฟว์ เพราะคนปกติก็น่าจะมีบล็อกแค่ที่เดียว(หรือเปล่า?) สรุปเลยไม่ได้ทำ

แต่ทุกวันนี้กระแสไฮไฟว์มันมากแรงมากๆ ข้อดีของมันอาจจะอยู่ตรงที่เป็น Social Networking ด้วย ก็คือเป็นสังคมเครือข่าย ประมาณว่าเราเป็นเพื่อนนายเอ เอเป็นเพื่อนบี บีเป็นเพื่อนโอ โอเป็นเพื่อนเรา อะไรแบบนี้ ทำให้เราจะได้พบหน้าเพื่อนที่ห่างกันไปนาน หรือญาติที่ไม่เคยรู้จัก ฯลฯ ดูเหมือนจะดีนะ แต่ข้าพเจ้าไม่ชอบ!!

ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งละที่มีโลกหลายโลก มันเป็นยังไงเหรอ คือแล้วแต่บทบาทในแต่ละงานหรือหน้าที่ไง เช่น อยู่บ้านก็จะเรียบร้อย อยู่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยก็จะบ้ากิจกรรม อยู่ในที่ทำงานก็จะทางการวิชาการ ฯลฯ ถ้าทำให้ทุกโลกมารวมกันแล้วสถานภาพและบทบาททางสังคมคงจะงงดี ยอมรับว่าดูเหมือนเป็นคนเลว ที่ในแต่ละงานจะแสดงบทบาทที่แตกต่างกัน แต่ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ผมเป็นชาวราศีเมถุนหนิครับ มีหลายด้าน หลายมุม

ตอนนี้เห็นกระแสเด็กไทยที่ใครๆ ก็มี Hi5 เป็นเรื่องปกติ ประดุจดังบัตรประจำตัวประชาชนที่ทุกคนต้องมีนอกจากโทรศัพท์มือถือกับอีเมลล์ไว้ออนเอ็ม ตกเย็นก็จะไปเม้นกันใน Hi5 (แล้วกลางวันทำไมพวกแกไม่คุยกันหรือคุยใน msn แทน) ใครไม่มีก็จะถูกมองว่าเฉย ตัวประหลาด มาจากประเทศไหน(ขอเถียงว่าต่างประเทศไม่ได้บ้า Hi5 เหมือนเด็กไทยนะ)

สรุปแล้วข้าพเจ้าควรจะทำ Hi5 ใช่ไหม ?

11 กันยายน 2551

เลี้ยงน้องโรงเรียน

เป็นเดือนกันยายนที่แสนยากจน มีแต่ภาระจ่ายเงิน ซื้อของนั้นของนี้ ไปกินนั้นกินนี้ เดินทางไปนั้นไปนี้ เงินหายไปไหนอย่างรวดเร็ว น่าตกใจมากใช้เงินเปลื้องจริงๆ เลยกระผม ล่าสุดก็ไปเลี้ยงน้องโรงเรียนที่ติดจุฬาฯ มา พระเจ้า!! ต้องกดเงินมาเพิ่มเพื่อมาใช้ เฮ่ออออ ได้จ่ายอีกแล้ว

ไม่น่าเชื่อว่าโรงเรียนเล็กๆ อย่างโรงเรียนปิยะมหาราชาลัยของผม แม้จะเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดนครพนม แต่ก็มีคนมาเรียนที่จุฬาฯ น้อยมากมาย ส่วนใหญ่อาจจะเพราะน้องๆ กลัวคะแนนไม่ถึงเลยไม่ยื่นกัน แล้วก็เพราะส่วนใหญ่ไปเข้ามหาวิทยาลัยส่วนภูมิภาคอย่าง มหาวิทยาลัยขอนแก่น อุบลฯ มหาสารคาม เกษตรฯ-สกลนคร กันหมดเลย แต่ละปีเลยจะมีเด็กเข้ามาเพียงนิดเดียว

อยากจัดค่ายแนะแนวการศึกษาเหมือนจังหวัดอื่นๆ เพื่อให้มีเด็กจากนครพนมมาศึกษาต่อที่จุฬาฯ มากขึ้น แต่ปัญหาก็คือคนของเราน้อยเหลือเกิน พี่ๆ ก็ไม่เยอะทั้งจำนวนและทุนทรัพย์ จะให้จัดค่ายก็ไม่ไหว เลยทำให้มีคนมาเรียนต่อที่จุฬาฯ น้อยมากๆ เมื่อเทียบกับโรงเรียนอื่นๆ ที่มากันทีมากมายเหลือคณานับ

ได้แต่ฝากความหวังกับน้องๆ รุ่นนี้ว่าจะทำการประชาสัมพันธ์ข่าวสารการรับตรงให้น้องๆ ที่นครพนมรู้ให้มากที่สุด แต่คนก็มีอยู่เท่านี้เอง ต้องช่วยๆ กันแล้วครับผม

09 กันยายน 2551

ฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าแลบ

ณ ตอนนี้กำลังอยู่ที่ระเบียงทางเดินชั้น ๓ ปีกพญาไทของหอจำปี หอพักนิสิตจุฬาฯ นั่นล่ะ นั่งเซ็งๆ ไม่มีอะไรทำ(จริงๆ นะงานมากมายแต่ไม่มีอารมณ์ทำ) แถมฝนก็ตกหนักมากมาย ไม่สามารถออกไปที่ไหนได้ เลยมานั่งเขียนบล็อกดีกว่า ชดเชยช่วงที่ไม่ค่อยได้เขียนเท่าไร ทั้งที่ไม่ค่อยมีคนได้อ่านก็ตามแต่

เห็นฝนตกก็อยากไปเล่นน้ำฝนจัง แต่ก็กลัวคนมองว่าประสาท ถ้าอยู่ต่างจังหวัดเนี่ยจะออกไปเล่นน้ำฝนให้สบายใจแล้ว นอกจากสายฝนที่ชุ่มฉ่ำก็ยังมีฟ้าแลบ ฟ้าร้อง มาเพิ่มบรรยากาศให้มีความน่าตื่นเต้นว่ามันจะลงมาใกล้ๆ เราหรือเปล่า โอกาสที่คนเราจะโชคดีโดนฟ้าผ่ามาโดนตัวเนี่ย ข้าพเจ้าว่ามันยังน้อยกว่าโอกาสถูกลอตเตอร์รี่รางวัลที่ ๑ ด้วยซ้ำ

ชื่อของข้าพเจ้า(วชิรัตน์)แปลว่าสายฟ้า เดาเองว่าตอนเกิดเนี่ยผู้ปกครองคงเห็นสายฟ้ามั้ง เพราะเกิดช่วงหน้าฝนด้วย แต่ก็ได้ความมาว่าผู้ปกครองตั้งมั่วๆ - -" แต่ก็ชอบความหมายนะ เพราะเวลาที่ฝนตกจนท้องฟ้ามืดมิด เราก็จะได้เห็นแสงสว่างจากสายฟ้าเนี่ยล่ะ ถึงมันจะมาเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่มันก็ช่วยให้แสงสว่างในความมืดมิดได้

และเท่าที่สังเกตุ คนส่วนใหญ่ไม่ได้กลัวฟ้าแลบนะ กลัวเสียงของฟ้าร้องต่างหาก แต่ฟ้าแลบก็แลบก่อนฟ้าร้องประมาณเกือบ ๑๐ วินาที ก็เหมือนเป็นการเตือนแล้วว่าเดี๋ยวจะมีเสียงฟ้าร้อง ให้เราเตรียมตัวแล้ว แถมการได้ยินเสียงฟ้าร้องข้าพเจ้าคิดว่ามันเป้นการดีเสียอีกที่ได้ยิน เพราะนั้นแสดงว่าเราไม่ถูกฟ้าผ่าตาย หุหุ

บันทึกคราวนี้ดูเหมือนจะมีสาระ แต่ยังไงมันก็ไม่มีสาระอยู่ดี ไว้คราวหน้าจะมาเขียนอะไรไร้สาระอีกบ่อยๆ นะครับ

08 กันยายน 2551

ปล่อยวาง

บางทีบางครั้งก็รู้สึกเบื่อๆ เซ็งๆ ไม่อยากจะทำอะไรเลยสักอย่าง ไม่อยากทำทุกอย่างที่ทำตามปกติในแต่ละวัน อยากนอนไปทั้งวัน หรือไม่ก็ไปเที่ยวทะเลโดดน้ำให้สะใจไปเลย แต่ปัญหาก็คือเราไม่สามารถทำอย่างที่ใจต้องการแบบนั้นได้ง่ายๆ หรอก ตราบใดที่เรายังต้องอยู่ในสังคม เราจะหนีไม่ได้!!

บางทีข้าพเจ้าก็สนใจทุกเรื่อง บางทีข้าพเจ้าก็ไม่สนใจสักเรื่อง อารมณ์แปรปรวนอย่างกับผู้หญิงมีประจำเดือนเสียอย่างนั้นเลย เพราะอะไรถึงได้มีความรู้สึกบ้าบอแบบนี้ เพราะใครกันถึงทำให้ข้าพเจ้ามีความรู้สึกแบบนี้ หรือเพราะเป็นชาวราศีเมถุนจึงมี ๒ ลักษณะนิสัยที่ต่างกันสุดขั้วแบบนี้ แต่นี่มันก็แตกต่างกันเกินไปหรือปล่าวเนี่ย

ตอนนี้อยาก"ปล่อยวาง"ทุกสิ่งและทุกอย่าง บางทีเราสู้กับทุกปัญหาหรือทุกเรื่องราวไม่ได้ การหนีปัญหาก็เป็นทางออกที่ดูเหมือนว่าจะดี แต่ไม่ได้หนีไปอย่างถาวร แค่นี้ออกมาตั้งหลักชาร์ตตัวเองให้มีพลังงานเต็มประจุ แล้วทีนี้ก็จะสามารถสู้กับทุกปัญหาที่เจอเข้ามา

ขอจบบล็อกวันนี้ไว้แค่นี้ดีกว่า เขียนไปก็ไม่มีใครอ่าน เอาไว้ระบายส่วนตัวอย่างที่คิดไว้เลย คนที่อยากให้อ่านคงจะลืมไปแล้วกระมังว่ามีบล็อกนี้อยู่ ช่างมันๆ เอาไว้ให้มันเป็นที่ปลดปล่อยอารมณ์และความรู้สึก เป็นโลกที่ไม่มีใครรู้จักดี เฮ่ออออ อยากไปที่ที่ไม่มีใครรู้จักเลย จะได้ทำอะไรบ้าๆ ได้เต็มที่

06 กันยายน 2551

อุปสรรคเมื่ออยากทำอะไร

เคยไหมครับเมื่อคุณมีความตั้งใจที่จะทำอะไรสักอย่าง ก็มักที่จะมีอุปสรรคเข้ามาเป็นบททดสอบหรือบทลองใจให้เราไม่สามารถทำตามสิ่งที่เรามีความตั้งใจ(เป็นอย่างยิ่ง)ที่จะทำมัน สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับกิเลศหรือสิ่งยั่วยุเรานั้นอยู่ดี ชีวิตช่างน่าเศร้าจริงๆ

อยากไปอบรมคอมพ์ในวันเสาร์ อบรมจัดรายการในวันอาทิตย์ ไปเดินดูงานทั้งวันเสาร์และอาทิตย์เดียวกัน แต่ก็ต้องมีสัมมนาให้ได้ไปต่างจังหวัด ทำให้เราต้องได้เลือกว่าจะเอาอย่างใดอย่างใด ทำไมสัปดาห์ที่ข้าพเจ้าว่างมากๆ มันถึงไม่มีการจัดงานใดๆ เลย เหมือนกับว่านัดกันจัดงานพร้อมกันอย่างนั้นล่ะ

อยากลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพที่ดี เพื่อให้มีคนมาสนใจ(สำหรับคนที่ชอบมองคนแต่ภายนอก) แต่แล้วแผนการที่จะไปออกกำลังกายก็ต้องพังลงเพราะงาน งาน และงาน ใครอาจจะหาว่าข้าพเจ้าเอางานมาเป็นข้ออ้าง ถ้าคุณโดนประชุมถึงเที่ยงคืนเป็นอย่างน้อยทุกคืน คุณจะอ้างว่าทำงานเลยไม่มีเวลาไหม? นอกจากนั้นก็ต้องทานอาหารดึกๆ อีกทั้งเวลาที่คุณพยายามจะลดน้ำหนักก็ดูเหมือนว่าอาหารทุกอย่างจะดูน่ากินมากๆ จมูกจะได้รับกลิ่นอาหารได้ดียิ่งขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ทำไมตอนไม่ลดน้ำหนักถึงไม่มีอะไรให้อยากกิน ทำไมตอนที่จะลดต้องมีอุปสรรคแบบนี้

นี่ก็เป็นเพียงแค่ตัวอย่างบางส่วนในชีวิตประจำวันของข้าพเจ้า ที่จะต้องเจออะไรที่มันงี่เง่าแบบนี้ ชีวิตคนอื่นๆ อาจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ชีวิตของข้าพเจ้าโรยด้วยกลีบกุหลาบแต่พร้อมขวากและหนามของกิ่งด้วย เฮ่อ! ว่าแล้วก็ขอไปนอนอืดเกลือกกลิ้งบนเตียงต่อดีกว่า ไม่ไปออกกำลังกายล่ะ ฝนก็ตก ม็อบก็มากมาย นอนดีกว่า....

21 สิงหาคม 2551

อยากร้องเพลงเป็น

ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนั่งเรียนวิชา Data Comm อยู่ ก็เกิดอาการเรียนไม่รู้เรื่องแล้ว ขี้เกียจเรียนสุดๆ ไปเลย จะให้ทำอย่างไรดี เพราะฉะนั้นจึงเป็นโอกาสอันดีในการเปิดคอมพ์ต่อเน็ต แล้วก็เข้ามาเขียนบันทึกดีกว่า เหอๆ ปี ๔ แล้วแทนที่มันจะตั้งใจเรียน ไม่เคยเลย แล้วมาบอกว่าจะตั้งใจเรียนอัพเกรดเฉลี่ย - -"

เข้าสู่ประเด็นที่เขียนในวันนี้เลยแล้วกัน ข้าพเจ้าอยากเรียนร้องเพลงครับ เป็นคนที่ร้องเพลงเพี้ยนสุดกู่เลย ทั้งที่บิดาร้องเพลงได้เพราะมากมาย แต่ทำไมลูกชายถึงได้ร้องเพลงห่วยแบบนี้ เล่นดนตรีก็ไม่เป็น ร้องเพลงก็ไม่ได้เรื่อง มีอะไรดีสักอย่างไหมครับคุณชาย ไม่มี!!!!

ทำไมถึงจะมาบ้าอยากเรียนร้องเพลง เวลาที่เค้าไปร้องเพลงกันก็ต้องแบ่งๆ กันร้องใช่เปล่า แต่ผมก็จะออกตัวเลยว่าผมร้องเพลงห่วยนะครับ ทุกคนก็ยังจะพยายามให้ผมร้องดู บอกไม่มีใครร้องได้ดีหรอก ร้องกันเล่นๆ ขำๆ สนุกสนาน แต่พอผมจับไมค์แล้วเป็นอย่างไรล่ะ ทุกคนแทบขาดใจตายกันสุดๆ ไปเลย T_T

ใครรู้จักที่ไหนที่เค้าสอนร้องเพลง ราคาไม่แพงเกินสู้ไหว ก็รบกวนแนะนำมาที อยากร้องเพลงเป็นเพลงได้บ้าง ถ้ามีเวลาว่างๆ ก็อยากหัดเล่นดนตรีอีกด้วยนะ ไม่ไหวอ่ะ ทำอะไรก็ไม่เป็นสักอย่าง เผื่อจะไว้ฝึกร้องเพลงรักกับเล่นเพลงรักได้บ้าง เอิ๊กๆ

.... อยากให้รู้ว่าเพลงรัก ถ้าร้องเพี้ยน ก็ร้องไม่ได้....

19 สิงหาคม 2551

รักคือกำแพง

เพลงนี้ค่อนข้างเก่าสักหน่อย เป็นอีกเพลงที่ชอบทันทีตั้งแต่ได้ยินครั้งแรก ไม่รู้ว่าเพราะพลังเสียงขอ ซอ วงเดอะซิสส์ กีต้าร์คลาสสิคของ ป๊อป เดะซัน หรือจะเนื้อเพลงดีๆ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคุณกิ่งฉัตร(ใครที่เป็นแฟนนวนิยายคงรู้จักกันดี) ยิ่งพอได้มารับมิวสิควีดีโอฝีมือของคุณเอกสิทธิ์ยิ่งบอกได้คำเดียวว่าสุดยอดมากๆ เสียงดายที่ไม่ดังเท่าที่ควร

เนื้อหาของเพลงเล่าผ่านในมุมมองของบุคคลที่หนึ่งตามแนวเพลงส่วนใหญ่ กล่าวถึงความสัมพันธ์ของเค้ากับคน(ที่เค้า)รักไปในทางลบมากๆ เพราะรักของเค้าเปรียบเสมือนกำแพงที่ขวางกั้นระหว่างคนสองคน ไม่ว่าเค้าจะพยายามทุกวิถีทาง ทำดีแค่ไหน อย่างไรก็ตาม ก็มิอาจสามารถทำลายกำแพงอุปสรรคนี้ลงได้

เพลงนี้คงจะตรงกับชีวิตจริงของใครหลายๆ คนเลยทีเดียว รวมไปถึงตัวของผมเองด้วย กำแพงนั้นบางทีก็ช่างสูง ใหญ่ และแกร่งเกินจะทำลายลงไปได้ แต่ก็มีวิธีข้ามไปอีกฝั่งของกำแพงได้โดยไม่ยาก หากอีกฝั่งยอมเปิดประตูให้ก้าวผ่านเข้าไป กำแพงก็ยังคงอยู่(แต่กับคนอื่น) และประตูหัวใจก็ได้เปิดเพื่อต้อนรับคนที่มีความรักและประสงค์ดีต่อคุณ




18 สิงหาคม 2551

ปัดกวาดเช็ดถูก

ฝึกงานเสร็จไปก็เหมือนกับลืมไปว่ามีบล็อคแห่งนี้อยู่เลย ไม่ได้เข้ามาทำอะไรกับมันนานมากๆ อาจเป็นเพราะช่วงฝึกงานใช้เวลาที่ฝึกงานเขียนบันทึก เอิ๊กๆ (งานที่ฝึกงานเลยไม่เสร็จสักที!!) ระลึกถึงต้นเหตุที่ทำให้เขียนบล็อคแห่งนี้ได้ เลยกลับมาปัดกวาดเช็ดถูมันเสียหน่อย หยากไย่ขึ้นเต็มไปหมดแล้ว ฝุ่นหนาหลายนิ้วแล้วด้วย - -"

ผ่านไป ๓ เดือนเป็นไงบ้างเหรอ งานเยอะมากๆ โปรเจ็คมากมาย อันไหนทำเดี่ยวได้ก็พยายามทำเดี่ยว อันไหนไม่ได้ก็ต้องทำเป็นกลุ่ม ใจจริงก็อยากทำเดี่ยวหมดนะ ไม่ใช่ว่าเก่งหรือเทพอะไรหรอกนะ แต่เพราะเป็นคนขี้เกียจ เลยไม่อยากทำให้เพื่อนๆ ทุกท่านมาซวยด้วย เลยพยายามเลี่ยงทำงานเดี่ยวไป แต่งานกลุ่มก็เยอะเหมือนกันนะ ทำยังไม่เสร็จด้วย

นอกจากนั้นก็ยังมีงานจุฬาฯ วิชาการอีก ว่าจะไม่รับผิดชอบงานอะไรแล้วแต่ก็ยังมีงานอีกมากมายที่ไปแจมกับเค้าจนได้ แล้วก็ยังมีงานที่สภานิสิตที่ได้ลองเข้าไปทำกับเค้าอีกงาน ก็สนุกดีนะได้ลองอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ และงานที่สำคัญอีกอย่างก็คือทำตัวเป็นปี ๔ ที่ดี เป็นรุ่นพี่ที่ดี ใช้ชีวิตนิสิตในปีสุดท้ายให้ดี เฮออออ อยากต่อโทต่างประเทศจังเลย

ตอนนี้ทั้งชีวิตทุ่มให้แต่การเรียนและการงานเท่านั้นแล้ว เรื่องอื่นๆ อาจจะมีผ่านๆ เข้ามาบ้าง แต่ก็ไม่เอามาคิด(มาก)ให้รกสมองแล้ว เพื่ออนาคตที่ดีต้องเรียนๆๆๆๆ และทำงานๆๆๆๆ แต่ว่าตอนนี้ต้องไปประชุมงานจุฬาฯ วิชาการล่ะ ไปดีกว่า

08 พฤษภาคม 2551

เหลืออีก ๑๖ วันครบ ๒๒ ปี

ไม่จริงใช่ไหมอีก ๑๖ จะอายุครบ ๒๒ ปีแล้ว แก่ขึ้นอีกปี - -" แต่อย่างไรก็ขอให้ปีนี้เป็นปีดีๆ ของกระผมก็แล้วกันนะ ให้ประสบความสำเร็จ ร่ำรวยเงินทอง เรียนจบด้วยเกรดสูงกว่านี้ สุขภาพพลานามัยแข็งแรง และที่สำคัญได้ของขวัญจากคนที่กำลังอ่านด้วย สาธุ!!!!

ฝึกงานก็เหลืออีกไม่กี่วันก็จะเสร็จ แต่ก็มีงานเหลืออีกพอสมควร ก็หนุกหนานดีนะฝึกงาน ถ้าไม่ติดว่าต้องตื่นมาตั้งแต่เจ็ดโมงกว่าทุกวัน เพื่อมาเข้างาน ๘ โมงเช้า เข้าก่อนเวลาบ้าง ช้ากว่าบ้าง (หลังๆ นี้จะเริ่มสายประจำเลย) แต่ก็รู้สึกว่าได้ทำอะไรมากขึ้นอีกมากมาย เหลือหลายงานเล่มมโหฬารรออยู่ ทำไงจะทำเสร็จก่อนภายใน ๑๐ วันเนี่ย เพราะวันที่ ๑๘ พฤษภาคมจะได้กลับนครพนมเลย ซื้อตั๋วไว้แล้วด้วย หุหุ

ตอนนี้หัวใจก็เริ่มมีคนมาดูแลล่ะ หนุงหนิง หวานแหวว กันอย่างมากมาย มีความสุขที่สุดเลย เอิ๊กๆ (ต้องสร้างกระแสต่อไป) คิดว่าหน้าตาอย่างข้าพเจ้าจะมีคนมาชอบได้เหรอครับคุณเพื่อนๆ ทั้งหลายที่ตกมาเป็นเหยื่อ แต่ไม่แน่อาจจะมีแล้วจริงๆ ก็ได้นะ เอิ๊กๆ

ช่วงนี้มีแต่เรื่องที่ต้องใช้เงิน ซื้อนั่นซื้อนี่ อยากได้โน้นอยากได้นู้น เงินที่มีอยู่ก็ร่อยร่อ ไปเที่ยวไปกินอีกก็เยอะพอสมควร แถมยังมีลูกหนี้มากู้ยืมเงินอีกมากมาย(ไม่ได้รวยถึงขนาดปล่อยกู้ แต่ถ้าไม่มีก็พอออกให้ได้) แต่พวกที่ไม่ยอมคืนเร็วๆ เนี่ยน่าเบื่อ ทวงมากก็ว่างก ไม่ทวงก็กว่าจะได้คืน เป็นอะไรที่น่าเบื่อเป็นที่สุดเลย

เอาล่ะครับการอัพครั้งนี้พอแต่เพียงเท่านี้ ไว้คราวหน้าจะมาอัพเดทชีวิตให้ได้อ่านกันอีกนะ อย่าลืมเข้ามาบ่อยๆ และก็อย่าลืมเม้นให้ด้วยล่ะ ถึงไม่ใช่ฮิห้าแต่ก็เขียนเยี่ยมสักนิดก็ดีนะครับ ขอบคุณคร้าบบบบ

28 เมษายน 2551

มันจะพกอะไรกันหนักหนา

    ๑ เดือนผ่านไปก็ได้มาเขียน blog อีกที บอกแล้วว่าฝึกงานมันจะไม่ค่อยมีเวลา ตอนเย็นก็ยังบ้าพลังไปทำรายการวิทยุต่ออีก นอนวันละไม่ถึง ๘ ชั่วโมงในแต่ละวัน เสาร์และอาทิตย์ก็เป็นเวลาออกทัวร์ไปหาซื้อของ ท่องเที่ยว หรือไปชิมของอร่อยๆ จึงไม่ค่อยได้ว่างเขียน blog สักเท่าไร แต่ก็อยากเขียนมากมาย วันนี้เลยต้องมาอัพเดทเรื่องราวสักที


    วันนี้อารมณ์ดีมาเปิดกระเป๋าดูของติดตามตัวและข้าวของเครื่องใช้วชิรัตน์กัน สืบเนื่องจากว่าพึ่งไปถอยกระเป๋ากับเข็มขัดของ TOUGH มาใหม่ (เดี๋ยวนี้รู้สึกบ้ายี่ห้อ TOUGH มากมาย) และก็ไปถอยน้องไนกี้มารองเท้าใหม่อีก ๑ คู่ เป็นเดือนแห่งการใช้เงินจริงๆ เลยเพราะเจ้าช่วยกล้วยทอด!!


กระเป๋าใส่โน้ตบุ๊คใบปัจจุบัน(เน่ามากมาย)


สภาพโน้ตบุ๊คเยินกว่ากระเป๋าอีก(น่าอายจริงๆ)


iPod shuffle(ที่ได้มาฟรี) Nokia N-GAGE(โทรศัพท์เครื่องแรก) และ Casio EDIFICE (จากวันเกิดปีที่แล้ว) จริงๆ มี dopod 818pro ด้วย แต่ใช้ถ่ายรูปอยู่ ไม่รู้จะถ่ายเอามาให้ดูได้ไง


กระเป๋าตัง TOUGH ที่พึ่งได้มาเดือนกว่าๆ จากสะพานพุทธครับ


กระเป๋าสะพายของ TOUGH ที่พึ่งได้มา (ไปเล็งไว้เป็นสัปดาห์เลยที่เจเจ)


เข็มขัด TOUGH แทนเส้นที่พังไป (ซื้อวันเดียวกันกับกระเป๋าเลย)


และแล้วก็ถึงน้องใหม่สุดครับ (มาในกล่องส้มอย่างสวยงาม)


เปิดเข้าไปก็เจอใบเสร็จนอนรออยู่ (ไม่รับเปลี่ยนคืนด้วย เหอๆ)


ป้ายราคาตั้งกับราคาลด (ลด ๓๕%)


นอนรออย่างน่ารักอยู่ในกล่อง (สวยๆ)


สีขาวเลย(อีกไม่นานก็จะดำ)


ถ่ายจากด้านหน้า (ดูไฮโซๆ)


อีกสักมุมๆ (มันบ้าเห่อมากไปแล้ว)


ลองใส่ดูสักที (ถุงเท้าเห่ยไปนะ)


แถมๆ iPod video (ของเพื่อนฝากซื้อ)


ดูรูปเดี่ยวๆ อีกครั้ง (ใครฝากซื้อรีบมาเอาไปด้วย)


ปิดท้ายด้วยใบหน้าหลอนๆ (ตัดผมสั้นแล้วดูหน้าแปลกๆ นะ)

01 เมษายน 2551

April Fool's Day

ประวัติ วัน April Fool's Day แบบสั้นๆ ได้ใจความ

นานมาแล้ว คริสศตวรรตที่ 16 (มั้ง) ชาวฝรั่งเศสถือเอาช่วงวันที่ 25มีนา ถึง 1 เมษาเป็น new year's week ซึ่งผู้คนจะทำการเฉลิมฉลองละส่งการ์ดให้กันภายในวันที่ 1 เมษา

ทว่า ในปีนั้นวันปีใหม่ถูกเปลี่ยนเป็นวันที่หนึ่งตามระบบนับวันของ Charles IX (กษัตริย์ ชารล์ที่9?) และเนื่องจากว่า การติดต่อสื่อสารในสมัยนั้นเป็นไปได้ช้ามาก ทำให้คนที่ไม่ได้รับข่าวเรื่องการเปลี่ยนวันที่ยังคงฉลองกันวันที่ 1 เมษาอยู่

คนที่ทำการฉลองในวันที่ 1 เมษาจึงถูกเรียกว่า "fool" และเนื่องจากว่าคนที่เข้าใจเรื่องวันที่ผิดจะส่งการ์ดอวยพรหรือการ์ดเชิญร่วมปาร์ตี้ไปด้วย จึงกลายเป็นว่า เป็นการชวนไปปาร์ตี้ในเทศกาลที่ไม่มีจริง

ทำให้ april fool กลายเป็นวันแห่งการโกหกด้วยประการฉะนี้



ก็อปเค้ามาจาก http://jazil.exteen.com/20050401/april-fool-s-day

26 มีนาคม 2551

ฝึกงานครับท่าน

ปิดเทอมนี้ก็ฝึกงานเหมือนตอนปีที่แล้วเลย แต่ต่างกันที่ปีนี้ฝึกด้านเว็บโปรแกรมมิ่งที่ฝ่ายไอทีของสถานีวิทยุแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีที่แล้วฝึกเว็บคอนเทนท์ที่เด็กดีดอทคอม ที่เลือกฝึกที่นี่เพราะเหตุผลนานาประการ
  1. ใกล้หอ(มากกกก) เบื่อการเดินทางที่ต้องไปนั่งหลับบนรถเมล์ทุกเช้า
  2. จะได้มีเวลาจัดรายการตอนกลางคืน เพราะเลิกงานก็ย้ายห้อง
  3. อยากฝึกงานด้านเว็บ ไปที่อื่นอาจไม่ได้ฝึกด้านเว็บ
  4. ไม่ได้มีความสามารถถึงขนาดไปฝึกที่ไกลๆ เช่น เยอรมัน แบบบางคน เหอๆ

เอาเหตุผลแค่ 4 ข้อพอแล้วกันเพราะชอบเลข 4 (เกี่ยวไหมนั่น) นอกจากต้องฝึกงานฝ่ายไอทีระหว่างเวลา 08:00 - 17:00 น. (แต่ออกจริงๆ ก็ห้าโมงกว่าๆ นิดๆ) แล้วก็ฝึกจัดรายการวิทยุเวลา 19:00 - 22:00 น. พอมีเวลาว่าง 2 ชม. ให้หายใจ แต่ก็ไม่เคยว่าง เพราะเลิกช้าแล้วก็ไปทานข้าว กลับหอ ส่งผ้าซัก คนนัดพบ ฯลฯ แผนที่จะใช้เวลาช่วงนั้นลดหุ่นก็ยังไม่ได้เริ่มเลย

กว่าจะได้นอนก็เที่ยงคืนเป็นอย่างน้อย(ปกติจะเป็นตี 1 ) เพราะต้องทำนู้น ทำนี้ และขอเล่นเน็ตบ้าง ช่วงนี้เลยได้นอนน้อยลง กะว่าจะไปนอนสะสมเสาร์อาทิตย์ ก็ไม่เคยได้ว่างสักเสาร์อาทิตย์ มีกิจกรรมให้ออกเดินสายตลอดแทบทุกสัปดาห์ ก็ดีนะไม่ต้องอยู่หอเฉยๆ ให้เซ็ง แต่เช้าไปก็ตื่นไม่ไหวเหมือนกัน อยากนอนให้มากกว่านี้สักหน่อย

เดี๋ยวช่วงแอดมิชชั่นก็รับจ๊อบตอบเรื่องเลือกคณะที่เด็กดีอีก ขอทำงานหาเงินบ้าง มากทมใช้เงินเปลืองจริงๆ (แต่ก็ไม่ได้ใช้ไปแต่เรื่องกินเหมือนที่น่าน) ทั้งไปเที่ยว เลี้ยงน้อง ซื้อของใช้ใหม่ ซื้อนั่นซื้อนี่ ฯ กำลังคิดเหมือนกันว่าจะเอาเวลาช่วงไหนไปตอบได้ แต่สุดท้ายก็ต้องหาเวลาจนได้ เพื่อเงินๆๆๆๆ หามาเนี่ยไม่รู้จะได้ใช้หรือเปล่า กลัวตายก่อนได้ใช้เงิน เพราะอดหลับอดนอนแบบนี้

วันอาทิตย์นี้มีงานบายเนียร์ ทำไมดูกระแสเงียบๆ ก็ไม่รู้ สงสัยเพราะทุกคนฝึกงาน งานเลยมารุมที่ข้าพเจ้าเต็มที่เลย เดี๋ยวว่าจะไปตัดผมทรงใหม่ไปงาน แต่ก็คงไม่ได้หล่อในงานหรอก เพราะต้องไปใช้แรงงาน ไปเตรียมงาน ขึ้นเวทีดำเนินกิจกรรม เก็บงาน ฯลฯ เอาน่าๆ จัดให้รุ่นพี่ทั้งทีก็ควรจัดให้ดีๆ ดีไม่ดีอาจจะเป็นบายเนียร์ปีสุดท้ายก็ได้ ไม่รู้รุ่นน้องจะจัดงานแบบยอมทุ่มทั้งชีวิตและหัวใจให้เราแบบนี้บ้างหรือเปล่า

หนึ่งเดือนเขียนที่ขอระบายอีก ช่วยนี้มีแต่คนมาให้ช่วยแก้ปัญหานั้น แก้ปัญหานี้มากมายจริง แต่เวลาข้าพเจ้ามีปัญหาไม่เห็นจะมีคนมาช่วยแก้เลย แอบเซ็ง ยิ่งโตยิ่งคบกันแต่เพื่อผลประโยชน์นะ เรื่องสุดท้าย อยากเริ่มเขียนนิยายได้แล้ว วางโครงเรื่องมาตั้ง 4-5 ปี ไม่ได้เริ่มสักที เดี๋ยวจะไปหาซื้อหนังสือมาอ่านเป็นไอเดียเพิ่มที่งานสัปดาห์หนังสือดีกว่า

วันนี้แค่นี้ก็แล้วกัน กลับไปเป็นนิสิตฝึกงานต่อ(บัตรที่ให้ตอกลงเวลาเขียนว่า"นักศึกษาฝึกงาน"แทบอยากกระโดดกัดหูคนออกบัตร จุฬาฯ เป็น"นิสิต"ไม่ใช่"นักศึกษา" มีความรู้สักหน่อยดิ)

25 กุมภาพันธ์ 2551

นิสัยเสีย

น่าเบื่อจะสอบปลายภาคอีกแล้ว การต้องสอบแต่ละครั้งของข้าพเจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับการต้องบังคับให้เด็กต้องทานผักขมๆ เหม็นๆ ไม่มีเด็กที่ไหนชอบหรอก ข้าพเจ้าจริงๆ แล้วไม่ได้เกลียดการสอบเท่าไรนะ ถ้าให้สอบเกี่ยวกับสิ่งที่ข้าพเจ้าสนใจ แต่นี่ต้องมาสอบอะไรก็ไม่รู้เกี่ยวกับโปรแกรมต่างๆ เขียนแผนภาพแผนภูมิอะไรก็ไม่รู้ ลองให้ไปสอบเกี่ยวกับเนื้อหานิเทศศาสตร์ดิ จะสู้ตายถวายชีวิตให้เลยทีเดียวเชียว

เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือเดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยอ่าน นอนมากขึ้น ดูทีวีนานขึ้น ทานอาหารต่างๆ บ่อยขึ้น ก็เลยทำให้อ้วนขึ้น เหมือนเริ่มประชดชีวิตอย่างไรก็ไม่รู้ กลับไปเลวพอสมควร ออกกำลังกายก็ไม่ค่อยได้ออก ฟังเพลงก็ไม่ค่อยได้ฟัง ห้องนอนก็ปล่อยให้มันรกสุดๆ ไม่ได้จัดการอะไรกับชีวิตตัวเองให้มันมีระเบียบอะไรเลย ใช้เงินก็เปลืองแทบทุกวันเลย ดีจริงๆ ชีวิตในช่วงนี้

นิสัยเสียหรือนิสัยเลวๆ หลายอย่างก็กำลังกลับมาหามากมาย รู้ว่ามันไม่ดีก็ยังกลับไปทำหรือประพฤติแบบนี้อยู่ได้ แค่เรื่องนิดๆ หน่อยๆ มารุมเร้ามากหน่อย กับเรื่องนิดๆ หน่อยๆ หายไปมากหน่อย ทีเวลาช่วยเรื่องคนอื่นทำได้ แต่กับปัญหาของตัวเองไม่สามารถทำได้ แย่จริงๆ เมื่อไรจะผ่านพ้นช่วงเวลานี้มันไปได้เนี่ย ขี้เกียจแสร้งทำเป็นอยู่ดีมีสุขกับคนอื่นๆ ที่เข้ามาพูดคุย ทั้งที่ในสมองและในใจไม่ไหวล่ะ

อีกไม่นานก็ได้กลับกรุงเทพฯ ได้ไปฝึกงานตลอดปิดเทอม จริงๆ อยากไปฝึกกับอีกที่มากกว่านะ แต่เห็นเพื่อนอยากไปมากก็เลยยอมสละเปลี่ยนมาฝึกที่นี่ก็ได้ แต่ที่นี่ก็ได้ข่าวว่ามีปัญหาภายในเล็กๆ น้อยๆ หรือยิ่งใหญ่ก็ไม่รู้ที่รอรับข้าพเจ้าไว้แล้ว ทำไมปีนี้มันดวงนี้แบบนี้ อยากไปเที่ยวทะเลจังเลย ไปโดดน้ำทะเล ไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่มีคนรู้จัก อยากปลดปล่อย อยากผ่อนคลาย อยากชาร์จไฟในตัวอีกครั้ง

12 กุมภาพันธ์ 2551

เคยไหม....

เคยไหม . . . . ที่รักใครมาก จนไม่สนใจว่าเขาจะเป็นยังไง จะดี จะร้ายแค่ไหน
เคยไหม . . . . ที่ทำได้ทุกอย่าง เพื่อให้เขามีความสุข ถึงแม้ว่าตัวเราจะทุกข์
เคยไหม . . . . ที่นึกถึงเขาทุกลมหายใจ นึกถึงเขาทุกครั้งที่หลับตา
เคยไหม . . . . ที่เชื่อมั่นในคำสัญญาของเขา ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่มีวันเป็นไปได้
เคยไหม . . . . ที่ยอมทำทุกอย่างแม้ต้องเสียใจเพื่อให้เขายังอยู่กับเราต่อไป
เคยไหม . . . . ที่ห่วงใครมาก ๆ จนไม่อยากให้ไปไหน
เคยไหม . . . . ที่ทำตัววุ่นวาย จนทำให้เขารู้สึกรำคาญ
เคยไหม . . . . ก่อนที่จะทำอะไรลงไป จะต้องนึกถึงความรู้สึกเขาก่อน
เคยไหม . . . . ที่แค่เขาชมใครว่าสวย ว่าหล่อ เราก็เก็บมาคิดมากจนทะเลาะกัน
เคยไหม . . . . ที่อยากจะทำตัวให้ดูดี ให้น่ารัก เพื่อที่จะไม่ให้เขาไปสนใจใคร
เคยไหม . . . . ที่ขี้หึง หึงแม้กระทั่งรู้ว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่น
เคยไหม . . . . ที่ถูกใครทำร้ายหัวใจแล้วยังยอมให้เขากลับมาทำร้ายดังเดิม
เคยไหม . . . . ที่เขาทำในสิ่งที่อภัยให้ไม่ได้ แต่ก็ยังอภัยให้เขา
เคยไหม . . . . ที่ต้องให้โอกาสเขาเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้
เคยไหม . . . . ที่คิดถึงเขา แล้วนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวบ่อยๆ
เคยไหม . . . . ที่อยากให้เขากลับมาอยู่ข้างกายเรา ทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้

10 กุมภาพันธ์ 2551

The Star

เมื่อสักครู่งงนิดหน่อยว่าบัญชีผู้ใช้งานของข้าพเจ้าเป็นอะไร ไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้ทั้งที่พิมพ์ถูกต้องทั้งหมด จนต้องกดแจ้งรหัสหายไปที่อีเมลล์ ก็นึกในใจต่อว่ามันเป็นบัญชีผู้ใช้งานเดียวกัน(gmailกับblogger) แต่ก็เข้าสู่ระบบของอีเมลล์ได้เลยลองเข้าสู่ระบบอีกครั้ง มันก็เข้าสู่ระบบได้ตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น - -" เกือบกดรีเซ็ทรหัสผ่านใหม่แล้ว ระบบมันป่วงจริงๆ เกือบจะไม่ได้เขียนบันทึกล่ะ

ระหว่างนั่งพิมพ์งานวิชาจริยธรรมที่สุดแสนน่าเบื่อที่ต้องเขียนให้ได้ ๓ หน้า ก็นึกขึ้นได้ว่ามีรายการ The Star ที่ช่องเก้า กดดูทันทีเลยเพราะเมื่อวานลืมไปว่ามีเลยอดชม งานการเลิกทำในทันทีเพื่อตั้งใจชมรายการ ปีนี้คนมาคัดเลือกเยอะขึ้นมากมายนะ เข้าใจอารมณ์คนที่มาคัดเลือกนะ เพราะเคยไปคัดพิธีกรของ Gsquare แล้วก็ตกรอบมา เข้าใจอารมณ์ความตื่นเต้นและความกดดันของคนที่มาเข้าประกวดอย่างทันที

รายการก็ดูซึ้งดีนะ ตกรอบก็เปิดเพลงบิ้วอารมณ์ เข้ารอบก็เปิดเพลงบิ๊วอารมณ์ ไม่มีอะไรก้เปิดเพลงคลอ คนตัดต่อจะอะไรกันหนักหนาเนี่ย(แต่ถ้าไม่มีรายการก็แห้งนะ ใส่เพลงนะดีแล้ว) ดูไปก็แทบจะน้ำตาไหลเชียว(มีความรู้สึกกับเค้าด้วยเหรอข้าพเจ้า หุหุ) สงสารคนที่ตกรอบนะ พยายามเต็มที่ก็ยังตกรอบ แค่พยายามคงยังไม่พอถ้าไม่มีองค์ประกอบอื่นช่วย

แต่มีบ้านหนึ่งพ่อแม่เค้าก็ส่งเสริมลูกตัวเองนะ ขับรถพาไปเรียนร้องเพลงถึงกรุงเทพฯ จากหาดใหญ่ สุดยอดไปเลยนับถือๆ ผู้ปกครองผมเหรอไม่มีทางโดยเด็ดขาด แค่อยากเรียนนิเทศยังไม่ได้สนับสนุนลูกชายตัวเองเลย ทุกวันนี้ข้าพเจ้าเลยต้องมานั่งเรียนเป็นโปรแกรมเมอร์อย่างนี้ พูดแล้วเศร้าใจเดี๋ยวก็คลั่งอีก แอบอิจฉาน้องคนนั้นนิดหน่อย แต่ก็ดีใจนะที่น้องคนนั้นเข้ารอบกับเค้าด้วย แล้วก็มีน้องคนอีกคนที่แต่คนว่าดำ ไม่ต่างจากข้าพเจ้าที่โดนว่าอ้วน หุหุ แล้วน้องคนที่ก็มาคัดคนเดียวไม่มีผู้ปกครองมาเหมือนคนอื่นๆ เอิ๊กๆ รู้สึกเหมือนกำลังดูตัวเองตัวที่ไปคัดพิธีกร GSquare ที่ต้องอ้อนวอนลากพี่เพชรไปเป็นเพื่อน

น่าจะมีรายการประเภท Reality แบบนี้เพิ่มอีกนะ แต่เป็นการคัดหาอย่างอื่นอกจากนักร้อง ยิ่งถ้าคัดหาโปรดิวเซอร์นะจะสมัครทันที อยากทำอาชีพนี้ใจจะขาย ไปดูประกาศรับสมัครของ TPBS แล้วน่าสนใจ แต่เรียนวุฒิวท.บ.มาบริษัทไหนเค้าจะรับข้าพเจ้าเนี่ย แต่จะไปทำอาชีพโปรแกรมเมอร์ก็คงจะไม่รอด หุหุ อนาคตจะเป็นอย่างไรต้องมาติดตามกันต่อไป

เอาล่ะหมดเวลาทำสิ่งไร้สาระแล้วครับ กลับคืนสู่โลกมนุษย์จริงต่อ การบ้านและงานรอเราอยู่ สู้ต่อไปๆ อยากนอนทั้งวัน กินของอร่อยๆ แล้วก็ดูหนังไปเรื่อยๆ น่าจะมีความสุขดีนะเนี่ย

ปล.ตรุษจีนก็ไม่ได้กลับบ้านที่นครพนม แต๊ะเอียก็เลยไม่ได้สักบ้านเดียว วาเลนไทน์ก็ไม่มีแฟนกับเค้าสักคน เดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ช่างโหดร้ายกับกระผมยิ่งนัก เข้าใจแล้วที่เดือนนี้มีวันน้อยที่สุด เพื่อที่จะได้ผ่านไปเร็วๆ หุหุ

29 มกราคม 2551

เดือนสุดท้าย(กว่า) ณ ประเทศน่าน

ตอนนี้ข้าพเจ้าก็ได้กลับมาสู่ประเทศน่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากลั๊ลล้าไร้สาระทำกิจกรรมต่างๆ ณ กรุงเทพมหานครเป็นเวลานาน ที่ต้องกลับมาก็เพราะยังเป็นนิสิตสิครับ ลองไม่กลับมามีหวังโดนพ้นสภาพนิสิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแน่ๆ มีงานและโปรเจ็คมากมายที่ จ.น่าน รอคอยข้าพเจ้าอยู่ สรุปสั้นๆ ว่าตอนนี้ผมมาใช้ชีวิตเดือนสุดท้าย(กว่าๆ)ณ ประเทศน่านแล้วครับ

พักหลังมานี้ไม่รู้เป็นไรปวดหัวจี๊ดๆ ทางสมองซีกขวา ที่มั่นใจแน่ๆ ว่าไม่ได้เป็นไมเกรนหรือปวดหัวปกติอย่างแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร กลัวอยู่ ๒ อย่าง คือ เนื้องอก หรือ พยาธิขึ้นสมอง หุหุ ยิ่งดู FW Mail เยอะๆ อยู่ด้วย สยองๆ แค่อาการถ่ายเป็นเลือดนี้ก็ทำเอาสภาพใกล้ตายอยู่ล่ะ ยังไม่นับอาการอื่นๆ อาทิ ปวดตา เมื่อยตัว ฯลฯ (ไม่น่าอยู่รอดได้นะ)

ตอนนี้ตัดผมสั้นหน่อย(ไม่ถือว่าเป็นทรงใหม่เท่าไร) มีแว่นใหม่กรอบสีแดงๆ ด้วย ใส่แล้วดูเกย์ชะมัด แต่ก็แต่งเอาขำๆ เซ็ทผมด้วย เครียดอะไรมาก็ระบายกับหัวเราดีที่สุด เอิ๊กๆ ช่วงนี้โด๊ปข้าวโด๊ปยารักษาตัวเลยดูบวมขึ้นเรื่อยๆ แต่หน้าตาดูผ่องใสขึ้น แต่ให้แต่งแบบนี้ทุกวันก็ไม่ไหว นานๆ ทีแก้เซ็ง แต่ก็อยากตัดผมสั้นๆ จะได้ดูหน้าเด็กๆ เอิ๊กๆ

ช่วงนี้มี Project ให้ทำมากมาย ต้องทำตัวให้สมกับการเรียนพัฒนาซอฟต์แวร์สักหน่อย หลังๆ เริ่มเป็นแนวนิเทศมากไปล่ะ อยากเรียนนิเทศแสดดดดดดดดดดดดดดด

22 มกราคม 2551

ปากบอน

ไม่ได้มาเขียนเป็นระยะเวลา ๓ สัปดาห์ สืบเนื่องจากมีภารกิจที่จะต้องไปช่วยงานสรุปเข้มโค้งสุดท้าย โครงการ ๔ ตอน Party Admission จุดนัดฝัน คนพันธุ์แอด ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทุกวันเสาร์และอาทิตย์เป็นระยะเวลา ๓ สัปดาห์ ความสนุกสนุนและบรรยากาศจะนำมาฝากในโอกาสถัดไป(ถ้ามีโอกาสและอารมณ์)

วันนี้นั่งเล่นและนอนเล่นอินเทอร์เน็ตไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ได้ไปค้นเจอบทกลอนหนึ่งที่ชอบมากๆ อ.ช่อทิพา เป็นคนนำมาให้ได้อ่านครั้งแรกสมัยอยู่มัธยมศึกษา วันนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะขออนุญาตคัดลอกบทกลอนบทนี้มาเผยแพร่ของครูกลอนที่มีนามว่า"ชิต บุรทัต" ทำไมผมถึงชอบบทกลอนบทนี้นั้นเหรอ ลองไปอ่านดูสิครับ

๐ ปากบอนเถอะกูรู้ หละก็กูจะตบมึง
เรื่องนั้นจะดันดึง และแดะแด๋เพราะโกรธดาล
๐ รู้เห็นอะไรหน่อย สิจะคอยเสนอขาน
เสือกแส่จะรังควาน เอะอะอึงตะบึงไป
๐ ถ้าหนักกระบาลมึง จะทะลึ่งก็ตามใจ
นี่เล่าก็เปล่าใย เสาะแสะเสือกมิเห็นสม
๐ เรื่องกูก็เรื่องกู ผิวะรู้ก็ควรอม
อย่าคายระบายลม เหลาะแหละให้กะใครฟัง
๐ ก่อนมึงก็มีคาว ระบุฉาวกระฉ่อนดัง
กูสู้สงบบัง มิแคะไค้กะใครเลย
๐ หากกูมิช่วยดับ จะระงับอะไรเหวย
ป่านนี้น่ะคงเผย กระจะหมดกระจ่างเมือง
๐ เรื่องใดก็ดีกู เจอะและรู้แน่ะเนืองเนือง
แม้ขุ่นและครุ่นเคือง ก็มิคิดจะไขขาน
๐ เรื่องใครก็เรื่องใคร เกาะแกะใยแฮ่ะป่วยการ
มีงานประกอบงาน เฉพาะตนก็เย็นใจ
๐ เรื่องกูกระนี้มึง สะเออะอึงกะใครใคร
เป็นไรก็เป็นไป เถอะจะตบมินับหน
๐ แก้ปากคะเยอคัน มิฉะนั้นจะเคยตน
ต่อไปอะไรดล ก็จะแดงเพราะมึงบอน ฯ

ปล.ขอเพิ่มเติมความรู้สักนิดนะครับ จริงๆ บทประพันธ์บทนี้ไม่ใช่กลอน แต่ก็พิมพ์ด้วยความเคยตัว จริงๆ แล้วเป็นคำประพันธ์ประเภทอินทรวิเชียรฉันท์ แจ้งไว้ให้ทราบครับ และก็ขอย้ำอีกครั้งว่าประพันธ์โดยท่านชิต บุรทัตครับ สุดยอดไหมล่ะ ใครชอบก็นำไปท่องจำเล่นได้นะครับ

01 มกราคม 2551

ปีใหม่ ๒๕๕๑

ปีใหม่ทั้งทีแต่ข้าพเจ้าไม่สบาย อาจจะเพราะการนอนผิดเวลาบ่อยๆ เปลี่ยนกลางวันเป็นเวลานอนแล้วมาเปลี่ยนกลางคืนเป็นเวลาตื่น แบบนี้มันก็สมควรที่จะไม่สบายแล้ว อาการก็ค่อนข้างเย็นลงด้วยกระมัง จึงทำให้ข้าพเจ้ามีอาการคัดจมูกและเจ็บคอได้ เดี๋ยวต้องรักษาสุขภาพตัวเองเพิ่มอีกหน่อย จะพยายามดื่มน้ำให้มากๆ มาอยู่หอในแล้วดื่มน้ำน้อยลงจนเป็นร้อนในเลย

เมื่อวานมีแผนจะไปเคาท์ดาวน์ที่เซ็นทรัลเวิร์ลด แล้วก็เลยโทรฯ ชวนเพื่อนๆ ที่ยังอยู่ที่ กทม แต่ปรากฏว่าตอนที่นัดกันเพื่อนๆ ที่ชวนนัดไปเดินถ่ายรูปแถวเกษรพลาซ่าเสียอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็นั่งรอเป็นเวลานานพอสมควรก็นึกว่าจะไม่มาแล้ว เลยไปเดินดูสินค้าในห้างกับน้องเมทที่ไปด้วยกันแถว อยู่ได้แค่สี่ทุ่มกว่าๆ ก็รีบกลับ เพราะแบตโทรศัพท์หมด(กลัวส่งข้อความไม่ได้) และสภาพร่างกายก็ย่ำแย่เกิดปวดหัวจี๊ดๆ ขึ้นมาได้ไงก็ไม่รู้ เลยรีบกลับมาพักผ่อนที่หอดีกว่า

สรุปปีนี้ก็ได้เคาท์ดาวน์หน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นปีที่ ๔ ต่างก็แค่ไม่ได้ตั้งใจนับถอยหลังกับใครเป็นพิเศษ นั่งไร้สาระดูบอร์ด เล่น MSN ไปเรื่อยๆ จนข้ามปีเช่นเคย แต่ก็ยังทรหดเล่นโน้ตบุ๊คอยู่ได้จนถึงเช้า แล้วค่อยนอนพักผ่อน ตื่นมาก็เลยรู้สึกว่าไม่สบายอย่างที่บ่นในตอนแรกนั้นล่ะ ไม่ไหวล่ะไปนอนต่อดีกว่า

ปล.ขอบคุณทุกข้อความ ทุกคำอวยพรที่ทุกคนส่งมาให้นะคร้าบบบบ